ขยายผลปราบขบวนการค้าตัวเงินตัวทอง-รณรงค์หยุดกินสัตว์ป่า

กรุงเทพฯ 1 มี.ค.- กรมอุทยานฯ เร่งขยายผลปราบปรามขบวนการค้าตัวเงินตัวทอง หลังจับกุมผู้ค้าใน อ. อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พบตัวเงินตัวทองทั้งที่มีชีวิตและชำแหละแล้วเกือบ 100 ตัว รวมถึงเต่านา-เต่าหับ-เต่าดำ พร้อมรณรงค์หยุดบริโภคเนื้อสัตว์ป่าเพื่อป้องกันการลดจำนวนและสูญพันธุ์ของสัตว์ ตลอดจนลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคสัตว์สู่คน


นายเผด็จ ลายทอง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกล่าวว่า กรมอุทยานฯ จะขยายผลดำเนินคดีต่อขบวนการค้าสัตว์ป่า จากการเข้าจับกุมผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าได้ที่บ้านเลขที่ 274 หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีผู้ให้เบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ว่า จะมีการลักลอบซื้อขายสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลื้อยคลานได้แก่ ตัวเงินตัวทอง (เหี้ย) และเต่า

วานนี้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และตำรวจสถานีตำรวจภูธรอู่ทองได้บุกเข้าตรวจสอบภายในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งมีนายมนต์ เณรจาที อายุ 73 ปีเป็นเจ้าของ ภายในบ้านมีสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน 4 ชนิด ได้แก่ เหี้ยที่ยังมีชีวิตอยู่ในถุง 32 ตัว ซากเหี้ยวางกองอยู่กับพื้นและอยู่ในกะละมัง 59 ซาก เต่านา 20 ตัว เต่าหับ 2 ตัว และเต่าดำ 6 ตัวที่อยู่ในโอ่งมังกร 4 ใบ นายมนต์ให้การรับว่า รับซื้อเหี้ยและเต่ามาจากชาวบ้านเพื่อแปรรูปแล้วจำหน่ายให้กับนายประสิทธิ์ เหล็กเพชร อายุ 67 ปี พ่อค้าที่มารอรับซื้ออยู่พอดีเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ


ภายในบ้านยังมีอีก 5 คนที่กำลังชำแหละเหี้ยประกอบด้วย

 1. นายณรงค์ จามะรี อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

 2. นางสาวสร้อยฟ้า หงส์เวียงจันทร์ อายุ 41 ที่อยู่บ้านเลขที่ 127 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี


 3. นางปัญญา ทำจะดี อายุ 56 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 40 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

 4. นางสาวประภา ทำจะดี อายุ 52 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 20 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

 5. นางสาวอุไร จีนขี อายุ 51 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 55 หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านโข้ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถาม ให้การว่า มาช่วยนายมนต์ชำแหละเหี้ยซึ่งได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท โดยไม่ทราบว่า เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่มีไว้เป็นความผิด

นอกจากนี้แล้วยังพบอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการชำแหละซากสัตว์ 8 รายการได้แก่ มีด 14 เล่ม ขวาน 1 เล่ม ค้อน 2 ด้าม เครื่องชั่งกิโล 1 เครื่อง ไม้ทุบ 1 ด้าม ถังก๊าซหุงต้ม 4 ถัง หัวก๊าซ 3 หัว และถุงตาข่ายพลาสติกสีฟ้าไว้สำหรับเหี้ย 32 ถุง

ทั้งนี้นายมนต์ให้การว่า ไม่มีเอกสารหลักฐานการได้รับอนุญาตครอบครองหรือเพาะพันธุ์สัตว์ป่าแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งให้ทราบว่า เหี้ยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน ลำดับที่91 ตามกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ 2546 และการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ตาม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 92 ข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซี่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและมาตรา 29 ประกอบมาตรา 89 ข้อหา “ร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนนายประสิทธิ์ให้การรับว่า ตนเองเป็นเพียงผู้มารับซื้อซากเหี้ยที่ได้ทำการชำแหละแล้ว 59 ตัวเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหี้ยที่ยังมีชีวิตอยู่และเต่าที่พบในบ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งให้ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 มาตรา 17 ประกอบมาตรา 92 ข้อหาร่วมกันมีไว้ในครอบครองซี่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 29 ประกอบมาตรา 89 ข้อหาร่วมกันค้าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนพร้อมด้วยของกลางส่งพนักงานสอบสวนสภ.อู่ทอง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

สำหรับของกลางทั้งหมดได้แก่ ตัวเงินตัวทองที่ยังมีชีวิต เต่านา เต่าหับ และเต่าดำส่งให้สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จังหวัดราชบุรีดูแล ส่วนซากตัวเงินตัวทอง 59 ซากนำไปทำลายที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวากตามหลักวิชาการแล้ว

ที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้รณรงค์หยุดการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าผิดกฎหมายมาโดยตลอดเนื่องจากเมื่อหยุดบริโภคจะช่วยให้สัตว์ป่ามีชีวิตและทำหน้าที่ในธรรมชาติของเขา ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของกรมอุทยานฯ ในการอนุรักษ์ คุ้มครอง และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ป่าและป่าไม้ โดยความต้องการเนื้อสัตว์ป่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการล่า ฆ่า และค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย นำมาสู่การลดจำนวนของสัตว์ป่า จนบางชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ นอกจากนั้นยังเพิ่มความเสี่ยงของการติดโรคจากสัตว์ป่า ดังกรณีโรคเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์ป่าสู่คน

ข้อมูลการวิจัยของ TRAFFIC และสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน (ZSL) ในเดือนมิถุนายน 2564 ที่ศึกษาการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าของคนไทยในเขตเมือง พบว่า ร้อยละ 32 มีการบริโภคเนื้อสัตว์ป่า รวมถึงเนื้อสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย และในจำนวนเท่าๆ กันนั้นมีแนวโน้มจะบริโภคอีกในอนาคต สำหรับกลุ่มประชากรในเขตเมืองที่บริโภคเนื้อสัตว์ป่าส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีช่วงอายุระหว่าง 18-30 ปี มีฐานะและชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว โดยเหตุผลหลักในการบริโภคเนื้อสัตว์ป่า คือ รสชาติ ความอยากรู้อยากลอง และความรู้สึกของความสำเร็จ ความตื่นเต้น แปลกใหม่ ไม่ใช่เพื่อการประทังชีวิต ดังนั้นจึงต้องรณรงค์เพื่อลดการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าผิดกฎหมายและปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้บริโภคเนื้อเหล่านี้ในประเทศไทย อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความต้องการในการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าผิดกฎหมายในอนาคต.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]