เตรียมสอบเภสัช-ผู้เชี่ยวชาญด้านยา หากยันสารในเลือด”บอส อยู่วิทยา”มีสารโคเคน แจ้งข้อหา”เสพ”เพิ่มได้

กรุงเทพฯ 31 ก.ค.- คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ของตำรวจ ยืนยัน พบสารต้องสงสัยในเลือดนายวรยุทธ ตั้งแต่ปี 2555 แต่ที่ไม่แจ้งข้อหา เพราะไม่ชัดเจนที่มาของสารโคเคอีน ระบุ หากแน่ชัด สามารถแจ้งข้อหาเพิ่มได้


             พลตำรวจเอกศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี ไม่แย้งคำสั่ง ไม่ฟ้องเด็ดขาดของอัยการสูงสุด  พลตำรวจโทสมชาย พัชรอินโต ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี และพลตำรวจโทกฤษณะ ทรัพย์เดช จเรตำรวจ  ในฐานะกรรมการฯ  แถลงผลประชุมนัดที่ 3 หลังจากใช้เวลาประชุมเกือบทั้งวัน

             พลตำรวจเอกศตวรรษ กล่าวว่า วันนี้กรรมการได้เชิญอดีตพนักงานสอบสวนคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา มาให้ข้อมูลโดยได้สอบถามลงลึกในรายละเอียดของสำนวน มีประเด็น สำคัญที่สังคมกำลังเคลือบแคลงสงสัยจะชี้แจง 2 ประเด็น คือ


           ประเด็นพบสารโคเคน หรือ โคเคอีนในเลือดของนายวรยุทธ ผู้ต้องหา จากข้อมูลของอดีตพนักงานสอบสวน ชี้แจงว่า แพทย์ได้ทำการเจาะเลือดผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ และผลตรวจออกมาวันที่ 11 กันยายน 2555 โดยแพทย์ผู้ตรวจยืนยันสารที่พบในเลือดของนายวรยุทธ  เกิดจากกระบวนการสลายตัวของสารที่เกิดจากโคเคนกับแอลกอฮอล์ โดยไม่ได้เป็นการตรวจพบสารโคเคนโดยตรงในเลือด และแพทย์ยังตรวจพบสารอีก 4 ชนิด ในเลือดของนายวรยุทธประกอบด้วย 1.อัลพาโซแลม 2.Benzoylecgonine 3.Cocaethglene และ 4.สาร คาเฟอีน  โดยสารที่ 1 เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท อาจมาจากยานอนหลับ ตรวจสารที่ 4 คือสารที่พบในกาแฟ จึงไม่ใช่สารที่เป็นปัญหาในคดีนี้

           สำหรับสารที่เป็นปัญหาในคดี คือชนิดที่ 2 และ 3 ที่มาจากการย่อยสลายโคเคนกับแอลกอฮอล์ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันว่า สารชนิดที่ 2. Benzoylecgonine เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเกิดได้ในร่างกายคนเมื่อเสพโคเคนและจัดเป็นยาเสพติด  ส่วนสารชนิดที่ 3.Cocaethglene ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท

            พลตำรวจเอกศตวรรษ ยังระบุว่าถ้าการตรวจเลือดพบสารชนิดที่ 2 และ 3 ในเลือดก็เท่ากับมีการเสพโคเคน หรือโคเคอีน แต่ ในชั้นสอบสวน เมื่อปี 2555 นายวรยุทธ อ้างว่าไปรักษาฟันกับหมอฟัน พนักงานสอบสวนจึงมีการไปสอบปากคำหมอฟัน ซึ่งให้การยืนยันว่ารักษาฟันให้กับผู้ต้องหาจริง แต่ใช้เพียงยาปฏิชีวนะแอมม็อกซี่ ขนาด 500 mg และไม่มีกาาใช้ยาเสพติดในการรักษา


              อย่างไรก็ตาม สารชนิดที่ 2 และ 3 อาจมาจากยาปฏิชีวนะ หรือเกิดจากการเสพโคเคนของผู้ต้องหา ซึ่งขณะนี้ยังสรุปไม่ได้  คณะกรรมการจะสอบเภสัชกร และผู้เชี่ยวชาญด้านยา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง หากสุดท้ายแล้วสรุปเป็นสารที่เกิดจากการเสพโคเคน ก็จะประมวลเรื่อง เสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาตั้งข้อหาเสพยาเสพติด เพิ่มเติมอีกหนึ่งข้อหา

               ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงกรณีนายจารุชาติ มาดทอง พยานปากเอก ที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงคดี “บอส อยู่วิทยา” ซึ่งเสียชีวิตกะทันหัน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า การเสียชีวิตของนายจารุชาติ จะไม่มีผลต่อการดำเนินการตรวจสอบ ของกรรมการชุดตน ส่วนการเสียชีวิตจะมีเบื้องหน้า หรือเบื้องหลังอย่างไร เป็นหน้าที่ของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่และตำรวจภูธรภาค 5 จะคลี่คลายคดีให้เกิดความกระจ่าง

          ทั้งนี้ ยืนยันนายจารุชาติ เป็นพยานขับรถกระบะ ตามหลังรถคู่กรณีทั้งสองฝ่าย และ ไม่ใช่พยานใหม่ แต่เป็นพยานเก่า ที่พนักงานสอบสวนสอบปากคำไว้แล้วเมื่อ 8 กันยายน 2555 รายการสอบสวนในครั้งนั้น ไม่ได้สอบสวนในประเด็น ขับรถเร็วของผู้ต้องหา ประเด็น ความเร็ว อัยการ เพิ่งมากำหนดให้สอบสวนเมื่อปลายปี 2562 ส่วนพลอากาศโทจักรกฤษณ์ ถนอมกุลบุตร สอบสวนครั้งแรก เมื่อ 8 กรกฎาคมปี 2558 ซึ่งสอบสวนหลังจากพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องนายวรยุทธ ข้อหาขับรถประมาทและออกหมายจับไปแล้ว

          อย่างไรก็ตาม ในประเด็นความเร็วของรถผู้ต้องหา ขณะพุ่งชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจจราจร สน.ทองหล่อ ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ไม่ตรงกัน ระหว่างผลตรวจ ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน กับพยาน 2 ปากนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้เกิดความกระจ่าง ขณะนี้ยังตอบไม่ได้

           ด้านพลตำรวจโทสมชาย กล่าวว่า พนักงานสอบสวน ในขณะนั้น พิจารณาความเร็วรถยนต์ Ferrari ที่นายวรยุทธ ขับ โดยใช้ข้อมูลหลักฐานจากการตรวจพิสูจน์ขอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสภาพรถยนต์ จากกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง ซึ่งประเมินความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ในชั้นสอบสวน มีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาขับรถเร็ว เนื่องจากพนักงานสอบสวนไม่เชื่อ ว่าผู้ต้องหาขับรถเร็วบนถนนสุขุมวิท แต่อัยการสั่งฟ้อง

           ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องสอบให้ชัดเจนใช่ไหมว่าการใช้ดุลพินิจของพลตำรวจโทเพิ่มพูน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเหตุใด จึงไม่เชื่อในข้อมูลความเร็ว 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งเป็นหน่วยงานตำรวจ แต่กลับให้น้ำหนักกับปากคำพยาน คือ พลอากาศโทจักรกฤษณ์ และนายจารุชาติ ว่าผู้ต้องหาขับรถความเร็วไม่ถึง 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและฝ่ายดาบวิเชียร เป็นฝ่ายตัดหน้ากะทันหัน พลตำรวจเอกศตวรรษกล่าว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ

         ทั้งนี้คณะกรรมการ ตรวจสอบชุดตำรวจจะประชุมพรุ่งนี้ เวลา 10:00 น และจะแถลงข้อมูลในรายละเอียดเพิ่มเติม อีกครั้ง .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]