อสส.สั่งฟ้อง “ชัยวัฒน์” คดีร่วมกันฆ่า “บิลลี่”

กรุงเทพฯ 15 ส.ค.- อัยการสูงสุด ยืนยันมีคำสั่งฟ้อง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน คดีร่วมกันฆ่า “บิลลี่” โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่งสำนวนให้อัยการคดีพิเศษ 1 ออกหมายนัดส่งฟ้องศาล


นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุด เปิดเผย ว่าได้มีคำสั่งชี้ขาดความเห็นเเย้งให้ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน ฐานร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องคดีจริง โดยขั้นตอนหลังจากนี้สำนวนถูกส่งมายังนายพรชัย ชลวาณิชกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ โดยอธิบดีจะจ่ายสำนวนไปให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เพื่อออกหมายนัดตัวนายชัยวัฒน์ กับพวก ผู้ต้องหามายื่นฟ้องต่อศาลต่อไป


นายประยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้อัยการคดีพิเศษเคยมีความเห็นสั่งฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ 157 เเละฐานสนับสนุนกับผู้ต้องหาที่ 4 ไปเเล้ว ส่วนข้อหาอื่นที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง อธิบดีดีเอสไอเเย้ง ต่อมานายสิงห์ชัย อสส. ก็ชี้ขาดเห็นเเย้งให้ฟ้อง 4 ข้อหา ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เเละสั่งไม่ฟ้องข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ มาตรา 340 ประกอบ 83 ไม่ฟ้องร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 147 ประกอบ 83 เจ้าพนักพนักงานปล้นทรัพย์ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำเเหน่งหน้าที่โดยมิชอบ 148 (83) ส่วนผู้ต้องหาที่ 4 ก็ไม่ผิดตามมาตรา 148 ฐานสนับสนุน ไม่ฟ้องกรรโชกทรัพย์ ตามมาตรา 337 โดยในคำชี้ขาดของอัยการสูงสุดระบุชัดเจนให้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง โดยหลังจากนี้ หากอัยการสำนักงานคดีพิเศษร่างฟ้องเสร็จ ก็จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปยื่นฟ้องต้อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เเละข้อหาที่อัยการสูงสุดชี้ขาดฟ้องคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้ต้องหาที่ 1 นายบุญแทน บุษราคำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ ผู้ต้องหาที่ 3 และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 249(4) (7), 309, 310 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542 มาตรา 5

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วง ม.ค.63 อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 มีคำสั่งไม่ฟ้องหลายข้อหา ในคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนคดีอาญาให้สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาคดีระหว่าง น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ กับพวกรวม 2 คน ผู้กล่าวหา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร, นายบุญแทน บุษราคัม, นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงศ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 1-4 นั้น


โดยขณะนั้น นายฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณาตั้งคณะทำงาน โดยคณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้วเห็นว่า สำหรับข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ จึงเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/2, 172 และเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น

ส่วนข้อกล่าวหาอื่น คณะทำงานเห็นว่า ทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิด มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง

สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่าบิลลี่ คณะทำงานเห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน ซึ่งต่อมาทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นเเย้งคำสั่งของอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ตามขั้นตอน จึงต้องส่งให้จนอัยการสูงสุดชี้ขาดในครั้งนี้

“ชัยวัฒน์” ยังไม่เห็นคำสั่งอัยการสูงสุด “คดีบิลลี่” แต่พร้อมสู้

จากกรณีมีข่าวอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าพญาเสือ และ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 จังหวัดอุบลราชธานี

นายชัยวัฒน์ เปิดเผยว่า ยังไม่เห็นคำสั่งดังกล่าว ทราบจากที่สื่อโทรมาสอบถาม แต่ส่วนตัวแล้วไม่หนักใจ กลับมองเป็นเรื่องที่ดีจะได้ต่อสู้ให้จบกันในชั้นศาลโดยพยานหลักฐาน ไม่เช่นนั้นแต่ละปีจะมีการหยิบเรื่องบิลลี่ขึ้นมาโจมตีอยู่ตลอดเวลา เชื่อว่าเป็นกระบวนการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ สงสารลูกน้องอีก 3 คน ซึ่งต้องมาลำบาก สังคมทั่วไปย่อมรู้อยู่ว่ามีกระบวนการที่มาเล่นงานตนเป็นช่วงๆ สิ่งที่ตนต่อสู้และปกป้องผืนป่าและทรัพยากร มีผลกับกลุ่มคนเหล่านี้ หลักๆ เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากกระบวนการค้ามนุษย์.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

มุกใหม่มิจฉาชีพ

มุกใหม่มิจฉาชีพ! ป่วนโทรแจ้ง ตร. เกิดเหตุร้ายที่บ้านเหยื่อ

อินฟลูฯ สาว สายทำอาหาร ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจโทรหา แต่เธอไม่เชื่อ โดนท้าอีก 10 นาทีเจอกัน ปรากฏว่า มีตำรวจจาก 2 โรงพักบุกมาที่บ้านจริง

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา บอกสนามใหญ่ ไม่เข้าไปก้าวก่ายสนามท้องถิ่น ซ้ายก็เพื่อน ขวาก็พวก

ครม.เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปี

“จุลพันธ์” เผย ครม.เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มผู้สูงอายุ วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการทันก่อน 29 ม.ค.68 รวม 3 มาตรการ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 1.4-1.5 แสนล้านบาท

ข่าวแนะนำ

มติกฤษฎีกา “กิตติรัตน์” คุณสมบัติไม่ผ่านนั่งประธานบอร์ด ธปท.

คณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีมติไม่ผ่านคุณสมบัติ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” เป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย

เครื่องบินโดยสาร อาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ ตกในคาซัคสถาน

เครื่องบินโดยสารเอ็มบราเออร์ ของสายการบินอาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ ที่บินจากอาเซอร์ไบจาน ไปยังประเทศรัสเซีย เกิดอุบัติเหตุตกที่บริเวณใกล้กับเมืองอัคเทา ในคาซัคสถาน โดยมีผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรือ 5 คน บนเครื่อง เจ้าหน้าที่คาซัคสถานกล่าวว่า มีผู้รอดชีวิต 28 ราย