ศาลไม่ให้ประกัน 3 ชาวจีนแก๊งอุ้มรีดทรัพย์นักธุรกิจ

กรุงเทพฯ 30 ก.ค. – ศาลไม่ให้ประกัน 3 ชาวจีนแก๊งอุ้มนักธุรกิจจีน​ ปล้นนาฬิกาหรู 25 ล้านบาท ชี้เกรงผู้ต้องหาหลบหนี


เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้ยื่นคำร้องฝากขังผู้ต้องหาสัญชาติจีน 3 ราย รายที่ 1-3 ปล้นนาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อหรู มูลค่า 25,000,000 บาท แจ้งข้อกล่าวหามีความผิดฐาน “ร่วมกันเอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไป โดยขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่, ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันควร”

สรุปพฤติการณ์ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.65 เวลาประมาณ 14.27 น. ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ควบคุมตัวชายสัญชาติวานูอาตู เชื้อชาติจีน ผู้เสียหาย ขณะอยู่บริเวณที่จอดรถใต้อาคาร แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร โดยพาตัวขึ้นไปบนรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใช้มีดจี้ผู้เสียหายและพูดข่มขู่ให้โอนเงิน จำนวน 2 ล้านหยวน คิดเป็นเงินไทยจำนวน 10 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายไม่ยินยอม ผู้ต้องหาที่ 1-2 จึงร่วมกันใช้เทปกาวพันบริเวณศีรษะของผู้เสียหาย จากนั้นพูดจาข่มขู่ เพื่อบังคับให้ผู้เสียหายส่งมอบนาฬิกาข้อมือ ยี่ห้อริชาร์ด มิลล์ รุ่น 65-01 มูลค่า 25 ล้านบาท และกุญแจรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ 1 ดอก มูลค่า ราคา 500,000 บาท ผู้เสียหายเกิดความกลัว จึงส่งมอบทรัพย์สินให้กับผู้ต้องหาทั้งสามไป จากนั้นผู้ต้องหาทั้งสามได้ปล่อยตัวผู้เสียหายลงจากรถไว้แถวย่าน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยก่อนที่จะปล่อยตัวผู้เสียหายลงจากรถ ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้พูดข่มขู่ว่า “ถ้าไม่โอนเงินให้ภายในคืนนี้ ก็จะมาจับตัวผู้เสียหายพร้อมครอบครัวอีกครั้ง” ภายหลังผู้ต้องหาได้ขับรถหลบหนีไป ผู้เสียหายจึงเดินทางมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสาม จนกว่าคดีจะถึงที่สุด


ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.ค. เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ร่วมกันสืบสวนติดตามพบผู้ต้องหาที่ 3 จึงได้นำภาพดังกล่าวให้ผู้เสียหายดู และให้การยืนยันว่า ผู้เสียหายรู้จักกับบุคคลดังกล่าวจริง โดยเป็นบุคคลที่เคยยืมเงินจากผู้เสียหายไป จำนวน 2 ล้านบาท และไม่ยอมใช้คืนแก่ผู้เสียหาย ซึ่งผู้เสียหายเชื่อว่า ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ที่ให้ข้อมูลของผู้เสียหายแก่กลุ่มคนร้าย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บก.ตม.2 สตม. เพื่อติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาไว้ก่อน ในกรณีที่อาจจะนั่งเครื่องบินหลบหนีออกนอกประเทศ

จนกระทั่งเวลาประมาณ 01.20 น. ของวันที่ 28 ก.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ตรวจสอบพบผู้ต้องหาที่ 3 ได้ผ่านด่าน ตม.ขาออก เพื่อรอขึ้นเครื่องบิน จึงได้ประสานกับสายการบินแห่งหนึ่งจากสนามบินสุวรรณภูมิไปประเทศกาตาร์ เครื่องจะออกบินในเวลา 02.30 น. จึงประสานสายการบินให้ชะลอการบินไว้ก่อน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ปป.บก.ตม.6 ได้ร่วมกันขึ้นไปบนเครื่องบิน เชิญตัวผู้ต้องหาทั้งหมดและขอตรวจค้นตัวบุคคลทั้ง 3 คน จนพบนาฬิกาของกลางดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามส่งพนักงานสอบสวน สน. วังทองหลาง เพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เหตุเกิดที่อาคาร 1 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1-3 ขอให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาทุกข้อกล่าวหา การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 310, 313 (2) (3), 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 ประกอบมาตรา 83


พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหามาโดยตลอด จนครบกำหนดควบคุมตัว 48 ชั่วโมง หากแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากจะต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 5 ปาก รอผลการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบวัตถุพยานจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวข้างต้น จึงขออนุญาตศาลฝากขังผู้ต้องหาไว้ในระหว่างการสอบสวน มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 30 ก.ค.-10 ส.ค.65

ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนระบุว่า หากผู้ต้องหาทั้งสามยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาล พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัว ด้วยเหตุที่เป็นคดีมีอัตราโทษสูง และผู้ต้องหาเป็นบุคคลต่างด้าว เกรงว่ามีพฤติการณ์จะหลบหนี ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝากขัง โดยศาลอาญาอนุญาตฝากขังผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 3 คนแล้ว ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดรวมกว่า 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญาพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีตามคำร้องฝากขังแล้ว เห็นว่า ผู้ต้องหาทั้งสามเป็นบุคคลต่างด้าว ไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร หรือที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ประกอบกับผู้ร้องคัดค้าน กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว ผู้ต้องหาทั้งสามน่าจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ไร้คู่แข่ง “ไชยา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1

รัฐสภา 7ส.ค. – “ไชยา พรหมา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แบบไร้คู่แข่ง ประกาศพร้อมจับมือทุกฝ่ายทำให้สภาฯ เป็นที่พึ่งของประชาชน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาลงมติเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอชื่อนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เพียงชื่อเดียว จากนั้นนายไชยา ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ขอบคุณประธานฯ และสมาชิก ที่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขอยืนยันว่าจะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงานทางการเมืองตลอดชีวิตการทำงานเพื่อสภาฯ แห่งนี้ อย่างน้อยสถาบันนิติบัญญัติเป็นกลไกที่มีความสำคัญไม่แพ้อำนาจฝ่ายบริหาร ประธานฯ และตัวไชยาเอง อยู่สภาฯ นี้มานาน ได้ผ่านกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมือง สถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันแต่ละยุคสมัย อยากเห็นองค์กรนิติบัญญัติแห่งนี้เป็นที่พึ่งของที่น้องประชาชนต่อไป และสิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือ อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน […]

เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ

มาเลเซีย 7 ส.ค.-เสร็จสิ้นแล้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ นับจากการประชุม […]

แม่ทัพภาค 2 เชื่อผลประชุม GBC เป็นทิศทางที่ดี

7 ส.ค. – มทภ.2 ขอรอผลอย่างเป็นทางการหลังประชุม GBC เชื่อจะไปในทิศทางที่ดี เมิน “ฮุนเซน” ขอไทยงดใช้ F-16 ร้องนานาชาติ หยุดขายเครื่องบินรบให้ไทย ส่วนกรณีสายลับเขมร รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนโลเคเตอร์ เครื่องจับพิกัดตัวโดรน รวม 30 เครื่อง มูลกว่า 8 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อนำไปมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้จะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พลโท บุญสิน บอกว่ารอการชี้แจงอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะดีขึ้น ย้ำว่า ในข้อเสนอ 8 เรื่อง 6 ประเด็น ตนให้ความสำคัญ ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้น คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก เน้นย้ำให้ทหารหน้าแนวตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และตรึงกำลังไว้ตลอด เรื่องแผ่นดินไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้ […]

“พล.อ.ณัฐพล” เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย

มาเลเซีย 7 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล” รมช.กลาโหม เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย ก่อนถก GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ บ่ายนี้ เมื่อเช้าวันนี้ (7 ส.ค. 68) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมคำนับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้และเป็นเจ้าภาพของสถานที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสแรกที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้พบกันในระดับรัฐมนตรีก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม GBC สมัยวิสามัญ ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ Deputy Minister of Defence pays courtesy call on Malaysian Prime Minister before Extraordinary Session […]