กองปราบฯ 22 ก.ค. – ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ ปคบ. สอบปากคำนางนาฎศิลป์ หรือ เจ้าหญิงนางน้อย ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชน ผลิตปุ๋ยทิพย์ หลังหลอกผู้เสียหายทั่วประเทศลงทุนกว่า 15 ล้านบาท แล้วไม่ได้รับตามที่กล่าวอ้าง โดยจับได้ที่บริเวณห้องโถงของโรงแรมแห่งหนึ่ง อำเภอบางพล จังหวัดสมุทรปราการ
ซึ่งระหว่างคุมตัวไปสอบปากคำนางนาฎศิลป์ กล่าวสั้น ๆ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และเรื่องแอบอ้างเบื้องสูง จากการตรวจสอบประวัติพบนางนาฎศิลป์ ได้ก่อเหตุมาแล้วทั่วประเทศในลักษณะเดียวกัน ทั้งการจัดสัมมนา จัดมวย รวมกว่า 25 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาข่าวออนไลน์ ทีวีออนไลน์ และยูทูบ และเคยถูกกองปราบปรามจับกุมดำเนินคดี หลังจากออกจากทัณฑสถานหญิงกลางเมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ก็ได้ก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก
สำหรับพฤติการณ์ของนางนาฎศิลป์ ได้จัดตั้งบริษัทจัดสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องปุ๋ยตามสถานที่ต่าง ๆ หว่านล้อมชักชวนผู้เสียหายให้หลงเชื่อและสมัครเป็นสมาชิก โดยมักจะเข้าไปตีสนิทกับบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือจนมีผู้หลงเชื่อ ยอมให้ผู้ต้องหาเป็นที่ปรึกษา ช่วยติดต่อประสานงานในการทำธุรกิจกับกลุ่มผู้เสียหาย จากนั้นผู้ต้องหาจะทำทีว่าจะมีการแต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ โดยบุคคลที่สมัครก่อนมีโอกาสได้ก่อน และจะมอบรถประจำตำแหน่ง พร้อมเงินเดือนทองคำ 1-2 บาท และปุ๋ย จำนวน 1 ตัน หรือ 20 กระสอบ มูลค่า 16,000 บาท แต่ผู้สมัครจะต้องเสียค่าสมาชิกคนละ 16,000 บาท และหลอกเพิ่มเติมว่าหากต้องการมีรถประจำตำแหน่งต้องโอนเงินเพิ่มเพื่อเป็นค่าจองรถ เป็นจำนวนเงิน 60,000 บาท โดยมีผู้เสียหายหลงเชื่อจำนวนมากทั่วประเทศ
ขณะที่ผู้เสียหายที่เคยตกเป็นเหยื่อได้มาสังเกตการณ์ในวันนี้ พร้อมเล่าว่า ตนรับจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ จนกระทั่งบริษัทนางนาฎศิลป์ มาว่าจ้างตนให้จัดงานสัมมนาชักชวนให้ประชาชนมาสมัครเป็นสมาชิกบริษัทปุ๋ยและจะได้สิทธิพิเศษ ทอง รถประจำตำแหน่ง บัตร VIP สำหรับใช้ซื้อสิ่งของต่าง ๆ ของบริษัทซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการไปแอบอ้างอ้างถ่ายรูปตามร้านทอง โชว์รูมรถ และตัดต่อรูปขึ้นมาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อทวงถามค่าจ้างทางบริษัทก็ไม่จ่ายค่าจ้างจัดงาน จึงเป็นคนกลางรวบรวมผู้เสียหาย โดยมีผู้เสียหายแจ้งตนแล้ว 40 คน มูลค่าเสียหายกว่า 2 ล้านบาท แต่ยังเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกทั่วประเทศ เนื่องจากบริษัทมีการหว่านล้อมข้าราชการ ผู้นำศาสนาในภาคใต้ ผู้นำท้องถิ่น ให้ไปชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุน
นอกจากนี้ ผู้ต้องหายังอ้างตนเป็นเจ้าหญิงและร่วมกับโปรโมเตอร์มวยแอบอ้างจัดทำเสื้อมวยที่มีตราสัญลักษณ์ จึงอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าเข้าข่ายผิดตาม ม.112 หรือไม่
ด้าน พ.ต.อ.อภิชาติ เรนชนะ ผู้กำกับการ 2 บก.ปคบ. เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยอ้างว่าเป็นการทำธุรกิจ และมีการจ้างพนักงาน แต่ก็ไม่มีเอกสารยืนยันการจ้างงาน ตำรวจจึงเชื่อว่าน่าจะอ้างบริษัทบังหน้า แต่ไม่มีการจ้างงานจริง
นอกจากนี้ผู้ต้องหายังอ้างว่า ทุกคนต่างก็ได้ประโยชน์ เพราะจ่ายเงิน 16,000 บาท และได้ปุ๋ย 1 ตันไปใช้ และบางคนก็ได้ตำแหน่ง ได้บัตร ได้รถประจำตำแหน่ง แต่เมื่อตำรวจไปตรวจสอบก็พบว่าผู้เสียหายกลุ่มจังหวัดกำแพงเพชร ไม่ได้แม้กระทั่งปุ๋ย ส่วนผู้เสียหายกลุ่มจังหวัดเพชรบูรณ์ได้สารเติมเต็มดินแทนปุ๋ย ซึ่งจะไม่มีธาตุอาหารต่าง ๆ ถือว่าเข้าข่ายจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ปลอม ส่วนรถก็เพียงถ่ายภาพตอนมอบของ แต่สุดท้ายก็เก็บคืนทั้งหมด
เบื้องต้นตำรวจได้อายัดบัญชีธนาคารที่รับโอนเงิน 3 บัญชี พบว่ามีประวัติเงินโอนเข้ากว่า 15 ล้านบาท แต่ก็จะมีการถอนออกทันที ซึ่งตำรวจอายัดเงินไว้ได้เพียงหลักหมื่น และอยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงิน รวมถึงอายัดทรัพย์สินอื่นๆ และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการเรียกบุคคลที่มีชื่อคณะกรรมการบริหารของบริษัททั้งหมดมาสอบปากคำ ซึ่งหากพบพยานหลักฐานเกี่ยวข้องก็จะถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน
สำหรับผู้ต้องหา ตำรวจแจ้งข้อหาฉ้อโกงประชาชน พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี และเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง ซึ่งจะมีการส่งฝากขังต่อศาลอาญาต่อไป พร้อมฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อสมัครสมาชิกกับโครงการปุ๋ยทิพย์ เพราะโครงการนี้ไม่มีอยู่จริง และปัจจุบันก็ยังมีการรับสมัครต่อเนื่อง แม้ว่าตำรวจจะอยู่ระหว่างการดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้. -สำนักข่าวไทย