ตร.แจงเริ่มใช้มาตรการตัดคะแนนการขับรถ มีผล ม.ค.66

กรุงเทพฯ 19 ก.ค. – ตร.แจงเริ่มใช้มาตรการตัดคะแนนการขับรถ โดยจะใช้บังคับในวันที่ 9 ม.ค.66 เพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุ และสร้างวินัยในการขับขี่


พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ชี้แจงหลักเกณฑ์ ระเบียบ วิธีการปฏิบัติ การบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ และการสั่งพักใช้ใบอนุญาติขับรถ ว่า เพื่อเป็นการป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตำรวจได้แก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ซึ่งมีหลักการสำคัญ เช่น 1. การเพิ่มโทษของผู้ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับภายใน 2 ปีนับแต่วันกระทำผิดครั้งแรก ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000-100,000 บาท 2. กำหนดอำนาจในการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดและสารเสพติดในร่างกายของผู้ขับขี่ที่หมดสติซึ่งไม่อาจให้ความยินยอมได้ 3. เพิ่มอัตราโทษปรับขั้นสูงในกฎหมายจราจร จากเดิมโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท แก้ไขเพิ่มเป็นปรับสูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท และ 4. การกำหนดให้ใช้ที่นั่งนิรภัยหรือมีวิธีป้องกันอันตรายสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ขณะโดยสารรถยนต์ ซึ่ง ตร.อยู่ระหว่างจัดทำประกาศรูปแบบที่นั่งนิรภัย รวมถึงเปิดช่องทางผ่อนคลายสำหรับประชาชนที่ไม่สามารถจัดหาที่นั่งนิรภัยเด็กไว้ โดยให้ปฏิบัติตามวิธีการป้องกันอันตราย ซึ่งจะกำหนดรูปแบบที่ประชาชนสามารถปฏิบัติได้ง่าย ไม่เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 5 ก.ย.65 นอกจากนั้น ตร.ยังได้ออกมาตรการเพื่อสร้างจิตสำนึกในการขับขี่ปลอดภัย ด้วยการใช้มาตรการทางปกครอง 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ระบบตัดคะแนนความประพฤติในการขับรถ และ 2. การสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่กรณีกระทำผิดกฎจราจร แล้วส่งผลให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรง

ด้าน พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. ซึ่งเป็นคณะทำงานเทคโนโลยีบังคับใช้กฎหมายจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร อธิบายเพิ่มเติมว่า มาตรการเพื่อสร้างจิตสํานึกในการขับขี่ปลอดภัย ด้วยการใช้มาตรการทางปกครอง 2 เรื่อง ได้แก่ 1. ระบบตัดคะแนนความประพฤติ ในการขับรถ และ 2. การสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่กรณีกระทำผิดกฎจราจร แล้วส่งผลให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรง มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ระเบียบ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ ของผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่ พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดเรื่องระบบตัดคะแนน โดยจะใช้บังคับในวันที่ 9 ม.ค.66 ระบบนี้กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่มีคะแนนคนละ 12 คะแนน หากทำผิดกฎจราจรจะถูกตัดคะแนนตามจำนวนที่กำหนด โดยข้อหาความผิดมีตั้งแต่ 1 จนถึง 4 คะแนน ข้อหาที่ตัด 1 คะแนน เช่น ขับรถเร็ว ฝ่าฝืนเครื่องหมายทางม้าลาย ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ตัด 2 คะแนน เช่น ฝ่าไฟแดง ย้อนศร ตัด 3 คะแนน เช่น แข่งรถในทาง และตัด 4 คะแนน เช่น ขับรถในขณะเมาสุรา หากคะแนนถูกตัดจนเหลือศูนย์คะแนน จะถูกสั่ง พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ เป็นระยะเวลา 90 วัน สำหรับคะแนนที่ถูกตัด จะมีการคืนคะแนนเมื่อครบกำหนด 1 ปี สำหรับการทำผิดครั้งนั้น ๆ หรือกรณีที่มีคะแนนเหลือน้อย อาจขอเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร จาก กรมการขนส่งทางบก เพื่อรับคืนคะแนนตามที่หลักสูตรกำหนดก็ได้ ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบคะแนนได้จาก เว็บไซต์ PTM E-ticket (https://ptm.police.go.th/eTicket) และ แอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยก่อนเริ่มใช้มาตรการตัดคะแนน ตร. และ กรมการขนส่งทางบก จะแถลงข่าวและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป


พล.ต.ต.เอกราช กล่าวว่า 2. ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ พ.ศ. 2565 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่กรณีผู้ขับขี่ทำผิดกฎหมายจราจร และการกระทำนั้นมีผลหรือมีลักษณะร้ายแรง ได้แก่ 1. มีเหตุก่อให้เกิดน่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงสาธารณะ 2. มีลักษณะเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างร้ายแรง และ 3. มีพฤติการณ์หลบหนีเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล/ทรัพย์สิน ซึ่ง ผบช.น. ภ.1-9 และ ก. เป็นผู้มีอำนาจออก คำสั่งพักใช้ใบขับขี่ผู้นั้น ครั้งละไม่เกิน 90 วัน โดยการสั่งพักใช้ตามข้อนี้ แยกต่างหากจากระบบตัดคะแนนความประพฤติในการขับรถ ระเบียบฉบับนี้ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.65 เป็นต้นมา การขับรถในระหว่างถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ตามมาตรา 156 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

พล.ต.ต.เอกราช กล่าวว่า นอกจากระเบียบทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ยังมีระเบียบที่กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานของ ตร. และระเบียบเรื่อง การประสานข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ฯ ระหว่าง ตร. และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้การใช้มาตรการตัดคะแนนเป็นไป ด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยให้ประชาชนขับขี่และใช้ถนนได้อย่างปลอดภัย จึงขอให้ร่วมกันปฏิบัติ ตามกฎจราจร เพื่อสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัย สร้างวินัยจราจร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนน อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน

ส่วนดุลยพินิจของตำรวจในการยึดใบอนุญาตขับขี่ หรือระงับการใช้รถ ทาง พล.ต.ต.เอกราช กล่าวว่า การยึดใบอนุญาตขับขี่ หรือระงับการใช้รถ จะมีประเด็นในเรื่องเจ้าพนักงานจราจร ถ้าพบเห็นผู้ขับขี่ผู้ใดได้มีพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นทางร่ายกาย ทั้งการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ลมบ้าหมู ฯลฯ หากพบเห็นแล้ว เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจที่จะยึดใบอนุญาตขับขี่เพื่อไม่ให้เขาขับรถต่อไป หากร่างกายสมบูรณ์แล้วเมื่อพิจารณาดูแล้วสามารถขับรถต่อไปได้ก็จะคืนใบอนุญาตขับขี่ให้ ส่วนทางด้านจิตใจ เช่น อาจมีเรื่องเครียดทะเลาะกับแฟน มีการขับรถปาดไปปาดมา ซึ่งเจ้าพนักงานจราจรเห็นว่าอาจเกิดอันตรายต่อผู้อื่นก็สามารถขอยึดใบขับขี่ เพื่อไม่ให้ขับรถ หากจุดนั้นเขาไม่มีใบขับขี่ก็มีอำนาจระงับการใช้รถได้ เพื่อไม่ให้เขาขับรถไปเป็นอันตรายต่อผู้อื่น แต่หากเหตุการณ์หรือพฤติกรรมต่าง ๆ จบไปแล้วทางเจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลยพินิจว่าสามารถขับรถต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งจะมีกระบวนการต่อมาจากนั้น เช่น หากสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ก็จะส่งไปโรงพยาบาล รวมถึงแจ้งญาติหรือมีกระบวนการอื่นใดที่สามารถปฏิบัติต่อผู้ขับขี่ได้อย่างเหมาะสมและไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อบุคคลผู้อื่น. -สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อุดพนังกั้นน้ำสำเร็จ น้ำท่วมหล่มสักเริ่มคลี่คลาย

เพชรบูรณ์ 21 ก.ย.-น้ำท่วมตัวอำเภอหล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รวมทั้งย่านการค้า เริ่มลดลงแล้ว หลังเจ้าหน้าที่อุดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้สำเร็จ และน้ำในแม่น้ำป่าสักลดลง จุดที่พนังกั้นน้ำริมแม่น้ำป่าสักแตกยาวกว่า 10 เมตร ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่สามารถปิดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้แล้ว แม้จะยังไม่ 100% ทำให้ยังมีน้ำรั่วซึมเข้ามาบ้าง แต่ช่วยลดปริมาณน้ำจากแม่น้ำป่าสักที่ทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนและอาคารร้านค้าหลายร้อยหลังในย่านการค้าของหล่มสักลงได้ ส่งผลให้น้ำที่ท่วมหลายจุดตั้งแต่เมื่อวานลดลง บางจุดเริ่มเห็นผิวถนนแล้ว และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง หลังระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักที่ไหลผ่านตัวอำเภอหล่มสัก ลดลงเฉลี่ยชั่วโมงละ 10 เซนติเมตร จนต่ำกว่าพนังที่ทางเทศบาลเสริมขึ้นมาแล้ว แต่ยังมีบ้านเรือนตามชุมชนที่อยู่ริมน้ำใกล้จุดพนังแตก ถูกน้ำท่วมขังอยู่บ้าง ขณะที่ชาวบ้านหลายครอบครัวเร่งนำข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกน้ำท่วมเสียหายออกมาล้างทำความสะอาด เร่งล้างคราบโคลนภายในบ้านกันบ้างแล้ว หลังต้องเจอน้ำท่วมหนักถึง 2 รอบ ในช่วง 3 สัปดาห์ และกว่าจะอุดพนังกั้นน้ำที่พังลงมาได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าหน้าที่ต้องใช้ความพยายามตลอดทั้งคืน ระดมกำลังคนและเครื่องจักรหนักเข้ากู้สถานการณ์ อุดรอยรั่วซ่อมพนังกั้นน้ำ ตรงข้ามสวนดงตาล ที่พังลงมายาวกว่า 10 เมตร โดยใช้แบริเออร์ กระสอบทรายบิ๊กแบ็ก วางอุดรอยรั่วได้สำเร็จ แม้ตอนนี้ยังคงมีน้ำรั่วซึมเข้ามาจากจุดพนังแตกอยู่บ้าง แต่หากระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักลดลงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ คาดว่าสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองหล่มสักจะลดลงต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย

ทบ.ชี้แจงปมกัมพูชาประท้วงไทย ย้ำพื้นที่อยู่ในเขตไทย

กทม. 21 ก.ย.-กองทัพบก ชี้แจงปมกัมพูชาประท้วงไทย ย้ำพื้นที่อยู่ในเขตไทย ไม่ใช่พื้นที่พิพาท กรณีกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อ 20 ก.ย.68 ระบุว่า “กัมพูชาได้ยื่นหนังสือประท้วงและคัดค้านอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทย เกี่ยวกับเจตนาที่จะใช้กฎหมายภายในประเทศของไทยกับพลเมืองกัมพูชาในหมู่บ้านโจกเจย และหมู่บ้านไปรจัน ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย โดยมีรายละเอียดกล่าวหาฝ่ายไทยว่า ฝ่ายไทยอ้างสิทธิ์ใช้กฎหมายภายในประเทศกับพลเมืองกัมพูชาในพื้นที่พิพาท โดยการอ้างสิทธิ์ดังกล่าวของไทยละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ (มาตรา 2(3) และ 2(4)) เป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ MOU 2000 ว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ขัดต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ขอเรียกร้องให้ไทยยุติกิจกรรมที่บ่อนทำลายความพยายามลดความตึงเครียด ตามข้อตกลงหยุดยิง พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงต่อกรณีนี้ว่า ฝ่ายไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศกับบุคคลที่อยู่ในเขตดินแดนของไทย ซึ่งเป็นหลักการสากลที่ทุกประเทศยอมรับ และขอยืนยันว่า พื้นที่ที่ฝ่ายไทยอาจจำเป็นต้องดำเนินการก่อนนั้น ไม่ได้อยู่ในเขตของพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือน แต่อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐ ส่วนเรื่องพันธกรณีตามกฎบัตรสหประชาชาติ ในมาตรา 2(3) ที่ได้ระบุไว้ว่า “รัฐสมาชิกต้องระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยวิธีสันติ เพื่อไม่ให้สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศตกอยู่ในอันตราย” นั้น ในความเป็นจริงกลับพบว่า ฝ่ายกัมพูชามักจะเป็นผู้ละเมิด อย่างกรณีการปลุกปั่น จัดฉาก […]

จับตาปลาย ก.ย. พายุถี่ขึ้น ลุ้นเคลื่อนเข้าไทย

กรุงเทพฯ 21 ก.ย.- กรมอุตุฯ เผยแนวโน้มเกิดพายุถี่ขึ้นช่วงปลายเดือน ก.ย. ทั้งในมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ ขณะที่พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” แม้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ส่งอิทธิพลต่อร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้หลายพื้นที่มีฝนเพิ่มขึ้น ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักและฝนตกสะสม นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ช่วงปลายเดือนกันยายนนี้มีแนวโน้มเกิดพายุถี่ขึ้นบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 26–27 กันยายน มีโอกาสเกิดพายุลูกใหม่เพิ่มอีก แม้ขณะนี้ยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยหรือไม่ แต่ต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปัจจุบัน พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” (RAGASA) ยังคงเคลื่อนตัวอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก แม้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ไทยโดยตรง แต่ส่งอิทธิพลต่อสภาพอากาศในประเทศ ทำให้ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขณะเดียวกันมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยก็มีกำลังแรงขึ้น ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนเพิ่มขึ้น และบางแห่งมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 21–27 กันยายน 2568 พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักและฝนตกสะสม ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ตราด รวมถึงภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เช่น แม่ฮ่องสอน […]

ไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง

กทม. 21 ก.ย.-กรมอุตุฯ ไทยตอนบนฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด ทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร กรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06.00 น. วันนี้ ถึง 06.00 น. วันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ […]