นิติเวช มศว ยันทำตามหลักวิชาการคดีแตงโม

มศว 9 มิ.ย.-แพทย์นิติเวช มศว ยืนยันการให้ข้อมูลความเห็นคดีแตงโม เป็นไปตามหลักวิชาการ ไม่เคยชี้นำ ฟันธง ให้ประชาชนสับสนตามที่ “อัจฉริยะ” ร้องสอบจริยธรรม ต่อแพทยสภา

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ยืนยันว่าการออกมาให้ความเห็นข้อมูลเชิงนิติเวชในคดีที่ประชาชนสนใจ รวมถึงคดีของ นางสาวภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เป็นการให้ความเห็นตามหลักวิชาการ ไม่เคยให้ความเห็นชี้นำสังคม ประชาชน หรือฟันธง ว่า บาดแผลเกิดจากอะไร หรือแตงโม ตกจากท้ายเรือ หรือหัวเรือ และส่วนตัวไม่รู้จักกับตำรวจภูธรภาค 1 หรือมีการโทรสอบถามข้อมูลจากหมอนิติเวช เพื่อนำข้อมูลมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน ทำให้ประชาชนสับสน ตามที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม มีการกล่าวอ้างและร้องต่อแพทยสภา ให้ตรวจสอบจริยธรรมของตนเอง ทั้งนี้ หากแพทยสภาเรียกไปชี้แจง ก็พร้อมเข้าให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง และยังไม่หมดกำลังใจ ยินดีให้ข้อมูล ความรู้ ตามหลักวิชาการด้านนิติเวชกับประชาชนต่อไป โดยยังไม่คิดฟ้องกลับนายอัจฉริยะ


ส่วนกรณีที่แม่ของแตงโม ร้องอธิบดีอัยการภาค 1 ให้มีการตรวจสอบคราบเลือดบนเรือใหม่นั้น ตามหลักวิชาการ การตรวจหาคราบเลือด และดีเอ็นเอ สามารถตรวจซ้ำ เพื่อไขข้อสงสัยได้ แม้เวลาจะผ่านมากว่า 3 เดือน หรือมีการล้างทำความสะอาด เพื่อทำลายพยานวัตถุ ก็ยังสามารถตรวจได้ ด้วยน้ำยาพิเศษ ทำในที่มืด หากมีคราบเลือดอยู่ พื้นที่ตรงนั้นจะปรากฏแสงสีฟ้าตามรอยเลือดเดิม ประมาณ 30 วินาที แต่หากเป็นคราบน้ำแดง คราบไวน์ จะไม่ปรากฏแสงสีฟ้า  แต่หากเรือ ซึ่งเป็นวัตถุพยานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ถูกแสงแดด ความร้อนปริมาณมากๆ ในเวลานาน  ดีเอ็นเออาจเสื่อมสลายไปได้ นอกจากนี้ ประเด็นที่ชาวเน็ตยังสงสัยว่า ทำไมร่างของแตงโมที่แช่อยู่ในน้ำนานแต่ทำไมเลือดยังไม่หยุดไหล รศ.นพ.วีระศักดิ์ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ตามหลักทฤษฎี บาดแผลขนาดใหญ่ที่ต้นขาขวา เส้นเลือดใหญ่ถูกตัดขาด เวลายังไม่เสียชีวิต หัวใจมีการบีบรัด เลือดจะไหลจากบาดแผลได้ปริมาณมาก แต่เมื่อเสียชีวิตแล้วเลือดไม่ได้มีการแปรสภาพ และบาดแผลยังเปิดอยู่ ทำให้ขณะเวลาเก็บกู้ศพ เคลื่อนย้ายศพจากที่เกิดเหตุ ทำให้ยังมีเลือดไหลออกมาได้ แต่ในปริมาณน้อย.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พ่อเลี้ยงล่วงละเมิด

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA ส่วนเด็กอาการดีขึ้น

“ต้นอ้อ” แฉพิรุธพ่อเลี้ยงปมคลิปเสียง-DNA เชื่อ แม่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แค่เชื่อผัวเพราะลูกเคยโกหก เผย ตอนแม่รู้ความจริงว่าใครทำลูกถึงกับร้องไห้โฮโผกอดลูก ส่วนเด็ก 10 ขวบอาการดีขึ้น แต่ต้องรักษาตัวอีกหลายสัปดาห์

งานแต่งธนกร

วิวาห์ชื่นมื่น “ธนกร-แคทลีน” คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น

งานวิวาห์ “ธนกร-แคทลีน” ชื่นมื่น คนดังการเมือง-นักธุรกิจ ร่วมยินดีครึกครื้น ด้าน “ทักษิณ” ไม่ได้มาร่วม แต่ส่งของขวัญแสดงความยินดี

ทรัมป์สั่งปลด

“ทรัมป์” สั่งปลดประธานคณะเสนาธิการร่วมตามแผนปรับปรุงกลาโหม

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกคำสั่งในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นปลด พลอากาศเอก ซี. คิว. บราวน์ จูเนียร์ (Charles Quinton Brown Jr.) เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐออกจากตำแหน่ง

ข่าวแนะนำ

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส กลับมาในรอบ 19 ปี

“ทักษิณ” ถึงนราธิวาส บอกคนนราธิวาสน่ารักเสมอ ต้อนรับอบอุ่นกับการกลับมาในรอบ 19 ปี ก่อนเดินทางต่อตามกำหนดเดิม แม้มีระเบิดที่สนามบิน

บึ้มรถกระบะ สนามบินนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่

บึ้มรถกระบะจอดใกล้กับหอบังคับการบิน ท่าอากาศยานนราธิวาส ก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่สนามบินบ้านทอน ในอีก 50 นาที ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

น้ำป่าหลากท่วม อ.ไทรโยค กลางดึก

ระทึกกลางดึก น้ำป่าหลากท่วมบ้านเรือนประชาชน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ถนนหลายเส้นถูกน้ำป่าพัดขาด จนท.เร่งอพยพประชาชนด้วยความยากลำบาก

Pope at Vatican on Feb 5, 2025 says have a strong cold

โป๊ปฟรันซิสพระอาการวิกฤต

วาติกัน 23 ก.พ.- พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส พระประมุขแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรุดลงอยู่ในขั้นวิกฤตในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา สำนักวาติกันออกแถลงการณ์ฉบับล่าสุดเมื่อวันเสาร์ว่า พระอาการประชวรของสมเด็จพระสันตะปาปาทรุดลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และระบุเป็นครั้งแรกว่า พระอาการของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤตจากโรคระบบทางเดินหายใจคล้ายกับโรคหอบหืดในช่วงเช้าวันเสาร์ ทำให้ขณะนี้พระองค์จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนเสริมและการถ่ายเลือด โดยรวมแล้วถือว่า พระอาการอยู่ในขั้นวิกฤตและยังไม่พ้นขีดอันตราย อย่างไรก็ดี พระองค์ยังทรงตื่นตัว และประทับนั่งบนเก้าอี้ตลอดวัน แม้ว่าทรงประชวรมากกว่าวันก่อนหน้านี้ก็ตาม พระสันตะปาปาฟรันซิส พระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเข้ารับการถวายการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลี ในกรุงโรม ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลังทรงมีพระอาการหายใจติดขัดต่อเนื่องหลายวัน และตรวจพบว่าปอดอักเสบทั้งสองข้าง ทรงร้องขอให้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์อย่างตรงไปตรงมา สำนักวาติกันจึงออกแถลงการณ์ชี้แจงความคืบหน้าอาการประชวรของพระองค์ต่อเนื่องทุกวัน แต่แถลงการณ์ฉบับล่าสุดถือเป็นครั้งแรกที่มีเนื้อหาระบุชัดเจนว่า อาการประชวรของพระองค์อยู่ในขั้นวิกฤต ขณะที่แพทย์คาดการณ์ว่า พระองค์จะต้องประทับอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อยตลอดสัปดาห์หน้า ภารกิจต่อสาธารณชนทั้งหมดของพระสันตะปาปาจึงถูกยกเลิกตลอดสัปดาห์ ทั้งพิธีมิสซาประจำวันอาทิตย์ รวมถึงการสวดภาวนาแองเจลัส (Angelus) ตามปกติทุกสัปดาห์ด้วย.-815(814).-สำนักข่าวไทย