กรุงเทพฯ 31 พ.ค. – ตำรวจพร้อมรับแจ้งความ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่หากเป็นกรณีใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะความมั่นคงและการปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองก็สามารถทำได้
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงชี้แจงกรณีกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย.) โดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้สั่งการให้ทุกกองบังคับการและทุกพื้นที่เตรียมพร้อมหากมีประชาชนเข้ามาแจ้งความการละเมิด พ.ร.บ.ดังกล่าวระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างหน่วยงานและนิติบุคคล โดยให้ศึกษากฎหมายดังกล่าวให้ชัดเจนมากที่สุดโดยพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของพฤติการณ์ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีหรือฟ้องร้องการละเมิด นอกจากนี้ยังให้ทุกหน่วยงานในสังกัดไปตรวจสอบอุปกรณ์บันทึกภาพและข้อมูลต่าง ๆ ให้เกิดความปลอดภัยในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มาแจ้งความและประชาชน
ทั้งนี้ ในส่วนของกล้องวงจรปิดที่เป็นกล้องตรวจจับความเร็วกล้องตรวจจับการฝ่าช่องทางจราจรเส้นทึบ และกล้องจับการฝ่าไฟแดง ยังคงทำงานในการตรวจจับตามปกติ หากมีผู้ฝ่าฝืนกระทำความผิดก็จะดำเนินการส่งใบสั่งอัตโนมัติหรือใบสั่งดิจิทัลไปยังบ้านของเจ้าของรถคันที่ก่อเหตุเหมือนเดิม ซึ่งอุปกรณ์และรูปแบบการทำงานต่าง ๆ จากการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เข้าข่ายความผิดการละเมิด พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเข้าข่ายการใช้เพื่อดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนจึงสามารถดำเนินการได้ตามปกติ
ด้าน รองโฆษก ตร. ชี้แจงรายละเอียดของข้อกฎหมายว่า มีการประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2562 และถูกประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไปเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วและมีการประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้เพื่อให้เกิดการปรับตัวเรื่อยมา ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวทั่วประเทศ โดยกฎหมายดังกล่าวอธิบายโดยง่ายคือ หากเป็นการใช้ข้อมูลหรือบันทึกข้อมูลภาพถ่ายภาพนิ่งคลิปวีดีโอหรือข้อมูลอื่นๆ หากใช้เพื่อการดูแลความมั่นคงของประเทศ, ใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ, หรือใช้เพื่อปกป้องทรัพย์สินและสิทธิของตนเองก็สามารถทำได้ โดยไม่เป็นการละเมิด พ.ร.บ. แต่ก็ต้องไปพิจารณาว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาหากมีการนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือนำไปเผยแพร่โดยทำให้เกิดความเสียหายกับบุคคลใดก็สามารถที่จะฟ้องดำเนินคดีได้ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวหรืออาจไปเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และกฎหมายอาญาอื่น ๆ
สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอยู่ อาทิ โครงการ smart city zone 4.0 ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้ริเริ่มแล้วมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดต่าง ๆ ไปแล้วทั่วประเทศ ประโยชน์สาธารณะและความมั่นคงจึงไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว อีกทั้งยังมีการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่กองบัญชาการและทุกพื้นที่สถานีตำรวจ ดูแลระบบและป้องกันไม่ให้มีการนำภาพดังกล่าวออกไปเผยแพร่จนทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งภาพต่าง ๆ ที่ได้สามารถใช้ในการเป็นหลักฐานดำเนินคดีหากมีผู้กระทำความผิดได้ตามปกติ รวมถึงกล้องตรวจจับความเร็วและกล้องติดตัวประจำเจ้าหน้าที่สายตรวจและตำรวจจราจรทุกนายทั่วประเทศ
ส่วนอุปกรณ์บันทึกภาพหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ประชาชนใช้งานอยู่ อาทิ กล้องหน้ารถกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ภายในเคหะสถานหรือที่พักอาศัย ยังสามารถใช้งานได้แต่ต้องดูเป็นรายกรณีไป หากเป็นการใช้เพื่อป้องกันทรัพย์สินและความปลอดภัยของตนเองก็สามารถทำได้ แต่ภาพและข้อมูลที่ได้สามารถนำไปใช้ในการเป็นพยานหลักฐานหากมีการกระทำความผิดของคนร้ายหรือผู้ก่อเหตุได้ แต่ไม่สามารถนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ จนอาจทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการทำความเข้าใจเรื่องการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวกับทุกพื้นที่สถานีตำรวจแล้วโดยวันพรุ่งนี้ยืนยันว่าทุกสถานีตำรวจพร้อมรับแจ้งความหากมีการละเมิด พ.ร.บ.ดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนจะมีการพิจารณาเป็นรายกรณีไปว่าวัตถุประสงค์ในการบันทึกหรือนำข้อมูลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด. -สำนักข่าวไทย