กรุงเทพฯ 9 พ.ค. – ตำรวจจับผู้ต้องหางัดตู้เซฟบ้านพักนายธนาคาร ย่านห้วยขวาง ช่วงสงกรานต์ ขโมยทรัพย์สินไปกว่า 10 ล้านบาท พบมีความชำนาญ ทั้งการดูลาดเลา และเตรียมทำแผนที่ก่อเหตุลักทรัพย์บ้านอีกกว่า 10 หลัง
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการจับกุม นายบรรจง ลิ้นจี่ ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหา ลักทรัพย์ผู้อื่น ในคดีลักทรัพย์บ้านพัก ย่านห้วยขวาง ของนายจุฑาศิษฐ์ เมฆวงศ์ตระการ นายธนาคาร เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา โดยได้งัดตู้เซฟในบ้านพัก ขโมยทรัพย์สินไปหลายรายการ มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท หลังตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาล 1 และ สน.ห้วยขวาง จับกุมได้ที่คอนโดมีเนียม และที่พักย่านรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุจริง โดยตำรวจพบว่ามีความชำนาญในการก่อเหตุลักทรัพย์ ด้วยวิธีลงพื้นที่สำรวจก่อนว่าจะเลือกบ้านหลังใด น่าจะมีทรัพย์สินจำนวนมาก ก่อนทำแผนที่บ้านเป้าหมายไว้ประมาณ 15 หลัง เพื่อเตรียมการลักทรัพย์ในอนาคต เมื่อสบโอกาสที่ไม่มีคนอยู่บ้าน
ส่วนทรัพย์สินที่ได้ไป ผู้ต้องหานำไปทยอยขายตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว และเล่นพนันออนไลน์ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถยึดทรัพย์สินคืนมาได้บางส่วน เช่น เครื่องเพชร สร้อยคอทองคำ กำไลข้อมือทองคำ เครื่องเพชร และธนบัตรเก่าที่สะสมเกือบ 100 รายการ มูลค่าประมาณ 5.9 ล้านบาท พร้อมอายัดเงินในบัญชีผู้ต้องหากว่า 1 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้จะขยายผลติดตามทรัพย์สินที่เหลือ รวมถึงผู้ที่รับของโจร และให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาในการหลบหนี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติของนายบรรจง พบว่า เคยก่อคดีเกี่ยวกับทรัพย์มาแล้วหลายครั้งในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีคดีข่มขืนกระทำชำเราอีก 2 คดี เมื่อปี 2553 ซึ่งนายบรรจง ต้องโทษจำคุกรวม 6 ปี ก่อนที่จะพ้นโทษออกมา และมาก่อเหตุงัดตู้เซฟภายในบ้านพักของทนายความ ที่ซอยลาดพร้าว 48 พื้นที่สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร เมื่อปี 2562 จากนั้นถูกจำคุกอีกครั้ง และเพิ่งจะพ้นโทษออกมา ก่อนมาก่อเหตุงัดตู้เซฟในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิ่มโทษต่อไป
ขณะที่ผู้เสียหายได้เดินทางมาตรวจสอบทรัพย์สินและดูสภาพของตู้เซฟที่ถูกผู้ต้องหางัดแงะ พร้อมเปิดเผยว่าได้ซ่อนตู้เซฟไว้ภายในตู้เสื้อผ้า และไม่มีบุคคลภายนอกทราบ จึงตกใจที่เกิดเหตุขึ้น ซึ่งขณะนี้ตำรวจติดตามทรัพย์สินกลับคืนมาได้ประมาณร้อยละ 60 ก็รู้สึกดีใจ แต่ทรัพย์สินที่ยังไม่ได้กลับคืนมา ก็รู้สึกเสียดาย เพราะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ เช่น แหวนแต่งงาน และนาฬิกา rolex ของบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้นำทรัพย์สินทั้งหมดไปฝากตู้เซฟของธนาคาร เนื่องจากบิดาเพิ่งเสียชีวิต และอยู่ระหว่างการจัดการทรัพย์มรดก จึงไม่สามารถเปิดตู้เซฟในธนาคารได้ โดยยอมรับว่า ส่วนตัวประมาท และไม่ยอมนำบ้านและทรัพย์สินเข้าร่วมโครงการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงสงกรานต์ อีกทั้ง ภายในบริเวณบ้าน ไม่ได้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนภัย หรือกล้องวงจรปิด ทำให้การติดตามคนร้ายเป็นไปได้ยาก ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว. -สำนักข่าวไทย