เหยื่อเป็นสิบ โผล่แฉหมอจอมถูขณะรักษา 

กรุงเทพฯ 7 พ.ค. – ประเด็นอื้อฉาวสนั่นโซเชียล หลังมีหญิงสาวคนหนึ่งกล่าวหาแพทย์เจ้าของคลินิกย่านรามคำแหง ลวนลามขณะทำการรักษา หลังจากนั้นปรากฏว่ามีผู้เสียหาย 8 คน ออกมาให้ข้อมูลว่าตกเป็นผู้เสียหายเช่นเดียวกัน


พนักงานขายเครื่องสำอางสาว อายุ 25 ปี เปิดใจกรณีโพสต์กล่าวหานายแพทย์อายุ 40-50 ปี เจ้าของคลินิกแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง ก่อเหตุลวมลามขณะฉีดยารักษาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม จากนั้นได้เผยแพร่เรื่องราวผ่านโซเชียลฯ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ผู้เสียหายรายนี้ป่วยเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งจะไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่วันเกิดเหตุเจ็บคอมาก และที่โรงพยาบาลไม่มีแพทย์เข้าเวร จึงตัดสินใจไปรักษาที่คลินิก ซึ่งเคยไปใช้บริการแต่ไม่เคยรักษากับแพทย์คนดังกล่าว


ผู้เสียหายบอกว่า เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวและถึงคลินิกเวลา 18.40 น. จากนั้นแพทย์ได้ซักถามอาการ  และตนเองได้ขอให้ฉีดยาเพื่อหายไวขึ้น แพทย์จึงให้ไปนอนรอบนเตียง พร้อมบอกให้หันหลัง ตะแคงข้าง และให้ถอดกางเกง โดยบอกว่าจะฉีดยาบริเวณสะโพก ขณะนั้นรู้สึกแปลกใจเพราะที่ผ่านมาเคยฉีดยาที่บริเวณข้อพับแขน  นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติอีกหลายอย่าง ทั้งการให้ถอดกางเกงลงเพื่อฉีดยา รวมถึงให้ขยับจุดที่นอนตะแคงจากบริเวณกลางเตียงไปที่บริเวณขอบเตียง 

หลังจากที่ผู้เสียหายให้แพทย์ฉีดยา รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะเป้ากางเกงของแพทย์มาแนบที่บั้นท้าย แต่ขณะนั้นได้แต่นอนแข็งทื่อ กระทั่งแพทย์คนดังกล่าวฉีดยาเสร็จ ยังได้นวดเท้าเพื่อดูอาการแพ้จากมดกัด ทั้งที่ยังไม่ได้ใส่กางเกง อีกทั้งยังหาเรื่องนวดต่อไปอีก 5-7 นาที ก่อนกลับไปนั่งที่โต๊ะ และจ่ายยาตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้เสียหาย บอกว่า หลังจากรักษาเสร็จได้แจ้งพ่อแม่ทันที แต่ยอมรับว่าขณะนั้นไม่กล้าโวยวาย เพราะหลักฐานมีเพียงคลิปซึ่งถ่ายเก็บไว้ตอนฉีดยาช่วงแรก เนื่องจากตั้งใจจะส่งให้เพื่อนดูว่ามาฉีดยา แต่หลังจากได้โพสต์เรื่องราวลงโซเชียลมีเดีย มีผู้เสียหายอีก 8 คนติดต่อมาว่าเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน บางคนเคยถูกลวนลามขณะนวดกายภาพ บางคนเคยถูกลวนลามขณะเรียนมัธยมปลาย ส่วนรายที่หนักสุดให้ข้อมูลว่า ถูกเป้ากางเกงสัมผัสตามตัวและขึ้นมาใกล้ใบหน้า


อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้เสียหายยังอยู่ระหว่างหารือว่าจะเอาผิดกับแพทย์รายนี้ได้หรือไม่ แต่ทุกคนต่างสนับสนุนให้แจ้งความและพร้อมเป็นพยานให้ ซึ่งผู้เสียหายกำลังตัดสินใจว่าจะแจ้งความและร้องแพทยสภา เพราะต้องการให้ยุติอาชีพแพทย์

ผู้เสียหายอีกคน อายุ 32 ปี กล่าวทางโทรศัพท์ว่าเคยไปรักษาอาการปวดขากับแพทย์คนดังกล่าว และแพทย์รายนี้ให้ตัวเองนอนหงายชิดขอบเตียงและดัดขาขวาขึ้นมา ทำให้กระโปรงเปิด และแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยท่าทางที่ล่อแหลมนานกว่า 5 นาที ก่อนทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยอมรับว่าไม่มีหลักฐานมากพอที่จะแจ้งจับแพทย์รายนี้ดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปคลินิกที่ผู้เสียหายกล่าวอ้าง พยาบาลแจ้งว่าแพทย์คนดังกล่าวไม่อยู่ แต่ยืนยันว่าแพทย์คนดังกล่าวเป็นเจ้าของคลินิกเปิดมานานกว่า 30 ปี และที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องเสียหาย พร้อมแจ้งว่าแพทย์คนดังกล่าวจะเดินทางมาให้รายละเอียดด้วยตนเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวไทย ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เพื่อรอสอบถามความชัดเจนจากแพทย์คนดังกล่าว แต่ได้คำตอบจากพยาบาลว่าหลังจากที่โทรไปบอกเล่าเหตุการณ์ ปรากฏว่าแพทย์คนดังกล่าวตกใจมาก จึงขอตั้งสติก่อน

หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามร้านค้าที่อยู่ละแวกใกล้เคียงได้ข้อมูลว่า แพทย์คนนี้จะเข้าคลินิกวันจันทร์ – วันศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะกลับบ้านที่ชลบุรี แต่เท่าที่รู้จักพบว่าเป็นคนธรรมะธัมโม อีกทั้งภรรยาดุมากด้วย รวมถึงแพทย์รายนี้อายุเกือบ 60 ปีแล้วจึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนแบบนั้น

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ตรวจสอบข้อมูลของนายแพทย์รายนี้ พบว่าจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ  จบปริญญาตรี 2 ใบ จากมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในไทย ก่อนจะเปิดคลินิกเวชกรรมส่วนตัวตั้งแต่ปี 2536 ส่วนงานอดิเรกพบว่ามีการไปนั่งกรรมฐานวิปัสสนาที่สำนักสงฆ์ รวมถึงสนใจพระเครื่อง เหรียญโบราณ และของสะสมโบราณ รวมถึงเป็นเจ้าของเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับองค์ความรู้ด้านพระเครื่อง

ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปยังเบอร์ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ที่แพทย์เป็นผู้จัดทำ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง แต่ปรากฏว่าปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงรับ และปฏิเสธว่าไม่ใช่เบอร์นายแพทย์คนดังกล่าว ก่อนตัดสายไป. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย