ตร.เเถลงสรุปสำนวนคดี “เเตงโม” เกิดจากความประมาทของบุคคลอื่น

กรุงเทพฯ 26 เม.ย.- ตำรวจเเถลงสรุปสำนวนคดี “เเตงโม” สั่งฟ้อง 6 ผู้ต้องหา พร้อมเปิดคลิปนาทีตกเรือ ย้ำเกิดจากความประมาทของบุคคลอื่น ทำให้ “เเตงโม” เสียชีวิต ไม่ใช่การฆาตกรรม โดยตกจากท้ายเรือ บาดแผลเข้ากันได้กับใบพัดเรือ ส่วนปัสสาวะท้ายเรือหรือไม่ ไม่สามารถบอกได้


วันนี้ (26 เม.ย.65) ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมคณะ เเถลงสรุปสำนวนคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ “เเตงโม นิดา” นักเเสดงสาว

คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน โดยมีการสอบสวนพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ของกลาง คลิป DNA และอื่นๆ ประกอบด้วย พยานบุคคล รวม 124 ปาก ดังนี้ พยานที่ติดต่อผู้ที่อยู่บนเรือจำนวน 26 ปาก, พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จำนวน 62 ปาก, พยานผู้เชี่ยวชาญจำนวน 16 ปาก, พยานเจ้าหน้าที่จำนวน 20 ปาก เอกสารพยานวัตถุ รวมทั้งสิ้น 335 รายการ ดังนี้ พยานเอกสาร (ผลการตรวจต่างๆ) จำนวน 47 ฉบับ, พยานวัตถุ จำนวน 88 ชิ้น, ไฟล์คลิปวิดีโอจำนวน 200 ไฟล์ และเอกสารจำนวน 2,249 แผ่น


ดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย
1.ปอ ข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, เป็นผู้ควบคุมเรือ โดยไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความถูกต้องตามกฎหมาย, ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงในแม่น้ำ, แจ้งความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวน, ไม่ติดชื่อเรือเป็นอักษรไทยและอักษรภาษาอังกฤษที่หัวเรือ, ใช้เรือที่มีใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว

2.โรเบิร์ต ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, เป็นผู้ควบคุมเรือ โดยไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความถูกต้องตามกฎหมาย, ใช้เรือที่มีใบอนุญาตสิ้นอายุแล้ว, ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงในแม่น้ำ

3.แซน ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย


4.จ๊อบ ข้อหาเพื่อจัดช่วยผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น, ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงในแม่น้ำ

5.กระติก ข้อหาเพื่อจัดช่วยผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น, แจ้งความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวน

6.เอ็ม กุนซือ ข้อหาเพื่อจัดช่วยผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น / เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าหน้าที่

โดยมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกราย

ด้านตำรวจฝ่ายสืบสวนเปิดคลิปบางส่วนเพื่อให้คลายข้อสงสัย ทั้งหมด 25 นาที แบ่งเป็น 4 ส่วน
1.พฤติการณ์การเกิดเหตุ
2.ไทม์ไลน์
3.หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
4.สภาพบาดแผล

พฤติการณ์ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ เวลา 22.30 น. ได้เกิดเหตุ “แตงโม” นักแสดงสาวชื่อดัง ตกจากเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้เคียงกับท่าเรือพิบูลสงคราม 1

เวลา 23.00 น. ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีคนตกเรือ โดยมีการระดมค้นหาแค่ยังไม่พบ จากการสอบปากคำพยานแวดล้อมทราบเพียงว่าแตงโมตกเรือ ซึ่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงไม่พบแตงโม และไม่มีคนบนเรือมาแสดงตัว

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เวลา 08.00 น. ตำรวจพบเรือลำเกิดเหตุจอดอยู่ที่ NBC Boat Club จากนั้นพนักงานสอบสวนเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบ พบพิรุธต้องสงสัย คือ มีแก้วเพียง 1 ใบ ซึ่งไม่สอดคล้องกับจำนวนคนบนเรือ ในระหว่างตำรวจตรวจสอบพยานหลักฐานอยู่นั้น ตำรวจได้สืบทราบตัวตนทั้ง 5 คนบนเรือ คือ ปอ โรเบิร์ต แซน จ๊อบ กระติก

เวลา 15.00 น. มีผู้ให้คำปรึกษาทั้ง 5 แจ้งว่าจะพาเข้าพบตำรวจในเวลานี้ แต่เมื่อถึงเวลาก็ไม่มาตามนัด
เวลา 18.00 น. ปอ ได้ติดต่อมายังพนักงานสอบสวน
เวลา 20.00 น. ทั้ง 5 คน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น. พบร่างแตงโม กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากท่าเรือพิบูลสงคราม 2.35 เมตร พบว่าลักษณะบาดแผลบาดเป็นการตายอย่างผิดธรรมชาติ

ไทม์ไลน์
** ข้อมูลที่อ้างอิง จำพวกภาพกล้องวงจรปิด ข้อมูลตรวจสอบโทรศัพท์ การแชทต่าง ๆ 

ขณะเดียวกัน ตำรวจเปิดคลิปวิดีโอความยาว 25 นาที ซึ่งคลิปดังกล่าวประกอบด้วย 4 ส่วน ได้เเก่ 1.พฤติการณ์เกิดเหตุ 2.ไทม์ไลน์หรือช่วงเวลาไล่เรียงตั้งเเต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ เเละหลังเกิดเหตุ 3.หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ 4.สภาพบาดเเผล โดยไฮไลท์สำคัญ คือ ไทม์ไลน์ ซึ่งตำรวจไล่เรียงเวลาจากกล้องวงจรปิด เเละการใช้โทรศัพท์ของบุคคลบนเรือ

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ก่อนเกิดเหตุ 9 วัน
เวลา 08.00 น. ปอทักหากระติกทางไลน์ นัดแนะเพื่อนเก่าจิบไวน์
เวลา 19.00 น. กระติกไลน์หาแตงโม ว่าปอชวนไปล่องเรือ / แตงโมตกลง
เวลา 19.56 น. กระติกส่งข้อความหาปอว่า จะมีเพื่อนไปก้วยทั้งหมด 4 คน รวมแตงโม (เพื่อนอีก 2 คนในวันจริงไม่ว่างมาขึ้นเรือ) จากนั้นปอส่งรูปเรือลำที่เกิดเหตุมาให้กระติก

วันที่ 23 กุมภาพันธ์
เวลา 08.00 น. กระติกไลน์ชวนแซนไปขึ้นเรือ / แซนตกลง
เวลา 18.00 น. กระติกส่งข้อความหาปอ บอกว่าแซนไปด้วย
จากนั้นปอส่งพิกัดอู่เรือมาให้และนัดหมายเวลาลงเรือที่อู่เรือ NBC คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ในเวลา 18.00 น. 
เวลา 22.00 น. กระติกส่งข้อความหาแตงโม ว่าปอจะพาขับเรือเส้นอยุธยา

วันที่ 24 กุมภาพันธ์  (วันเกิดเหตุ)
-เวลา 14.00 น. กระติกส่งข้อความไลน์หาเเตงโม บอกว่าจะไปรับ
-เวลา 14.26 น. กระติกขับรถถึงบ้านเเตงโม
-เวลา 15.00 น. อีกฟากหนึ่งปอเดินทางถึงอู่เรือ NBC
-เวลา 15.52 น. กระติกเเละเเตงโม ขับรถออกจากบ้านของเเตงโม เพื่อไปยังอู่เรือ
-เวลา 15.35 น. จ๊อบเดินทางถึงอู่เรือ NBC
เวลา 16.45 น. กระติกเเละเเตงโม เดินทางถึงอู่เรือ
** โดยทั้งหมดในเรือมีสมาชิก 5 คน แซนเดินทางมายังไม่ถึง

16.49 น. GPS เรือออกจากอู่ เคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือ
17.00 น. โทรศัพท์กระติกถ่ายภาพกระติกกับแตงโม
17.01 น. เรือเทียบท่าเติมน้ำมัน (โดยไม่มีแซน)
17.13 น. โอนเงินจ่ายค่าเติมน้ำมัน

ขณะเดียวกัน
17.13 น. แซนเดินทางมาถึงอู่เรือ และถ่ายภาพไว้ เพื่อค่อยเรือกลับมารับ
17.24 น. เรือกลับมาถึงอู่รับแซน
17.46 น. โทรศัพท์กระติกถ่ายภาพแตงโมไว้
18.11 น. โทรศัพท์กระติกถ่ายภาพแตงโมไว้
18.28 น. เรือจอดเทียบท่าครัวบ้านตานิด จ.ปทุมธานี
19.57 น. จ่ายเงิน
20.08 น. เรือออกจากร้านอาหาร
20.30 น. ได้ถ่ายภาพแตงโมไว้
20.39 น. แซนได้ถ่ายรูป
21.23 น. ผ่านกล้องวงจรปิดพระนั่งเกล้า
21.33 น. ผ่านกล้องวงจรปิดสะพานพระราม 5
21.36 น. ผ่านท่าเรือพิบูลสงคราม 1
21.54 น. ผ่านกล้องวงจรปิดท่าเรือเทเวศร์
** ซึ่งจุดนี้เกิดข้อสงสัยว่ามีลักษณะคล้ายคนกระโดดลงจากเรือ

-เวลา 21.56 น. เรือถึงสะพานพระราม 8 กระติกถ่ายภาพคู่กับเเตงโม โดยมีฉากหลังเป็นสะพานพระราม 8 ซึ่งเป็นภาพที่ถูกตั้งข้อสังเกตเเสงไฟบริเวณสะพานว่าเป็นการตัดต่อ เพื่อจับผิดกระติก เเต่ผลการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญ เเละตรวจการถ่ายภาพในมุม-เวลาเดียวกัน เเละตรวจสอบจีพีเอสของเรือ พบว่าเรือเดินทางมาจุดนี้ครั้งเดียว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเเก้ไขเวลา จึงตัดประเด็นเรื่องการตัดต่อภาพทิ้งไป

-เวลา 22.06 น. เรือวกกลับ กระติกถ่ายภาพโรเบิร์ต ซึ่งเป็นสะพานคนละด้านกับที่ถ่ายคู่เเตงโม
-เวลา 22.11 น. กระติกติดต่อเรียกใช้บริการรถรับจ้างส่วนบุคคล เพื่อให้ไปส่งบ้านของเเตงโม
-เวลา 22.18 น. เรือวิ่งผ่านสะพานซังฮี้ เห็นภาพเเซนย้ายมานั่งบริเวณท้ายเรือ
-เวลา 22.21 น. เเตงโมยังตอบเเชทคนในไอจี
-เวลา 22.32 น. ยังเห็นคนบนเรือครบ 6 คน โดยเเซนยังนั่งท้ายเรือ

ทั้งนี้ ช่วงเวลาสำคัญคือ ช่วงเวลา 22.33.51 กล้องวงจรปิดของการไฟฟ้า เห็นลักษณะเเสงเงา มีวัตถุบางอย่างอยู่ท้ายเรือ -เวลา 22.34 น. เรือผ่านบริเวณท่าเรือพิบูลสงคราม ยังเห็นเเสงเงาเหมือนวัตถุบางอย่างยังอยู่ท้ายเรือ จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่วินาที ในช่วงเวลา 22.34.09-22.34.10 จากการตรวจสอบเเสงเงา ไม่พบวัตถุดังกล่าวที่ท้ายเรือเเล้ว จึงสันนิษฐานว่าเเตงโมตกเรือในช่วงเวลาดังกล่าว สอดคล้องกับคำให้การของเเซน ที่ให้การว่าเเตงโมมาเกาะขาเพื่อปัสสาวะ เเละคำให้การของคนอื่นๆ บนเรือ ที่ให้การว่าเห็นเเตงโมเดินไปท้ายเรือ ดังนั้น จึงสันนิษฐานว่าเเตงโมตกจากท้ายเรือในเวลา 22.34.10 น.

วันที่ 25 กุมภาพันธ์
เวลา 00.28 น. กระติกส่งข้อความหาเพื่อนว่าลงจากเรือมาเข้าห้องน้ำ
00.30 น. เข้าห้องน้ำบ้านชาวบ้าน
00.39 น. กล้องจับภาพกระติกและโรเบิร์ต
00.44 น. โรเบิร์ต ปอ โทรหากัน
00.45 น. GPS ขอเรือวนกลับเข้าอู่เรือ

ขณะเดียวกันกระติกและโรเบิร์ตเดินมาที่ปากซอย
00.52 น. รถแกร็บมารับมุ่งหน้าอู่เรือ
01.03 น. ถึงอู่เรือ
01.06 น. เรือถึงอู่เรือ
01.22 น. โบ เดินทางถึงอู่เรือ
01.44 น. จ๊อบออกจากอู่
01.53 น. ผู้แนะนำคนหนึ่งส่งข้อความมาให้โรเบิร์ต อย่าให้การกับตำรวจ
02.26 น. มีการรวมกลุ่มกันที่ปั๊มเชลล์
02.27 น. ผู้แนะนำบอกให้ทั้ง 5 คน เลื่อนนัดตำรวจ เพราะมีแอลกอฮอล์ในเลือด
03.04 น. กระติกออกจากอู่เรือ
03.29 น. ขับรถถึงบ้านแตงโม
04.11 น. กระติกขับรถออกจากบ้านแตงโม
11.00 น. มาพบทนายคนหนึ่งย่านทองหล่อ
17.17 น. มาพบทนายชื่อดังอีกคนหนึ่งย่านราชพฤกษ์
20.00 น. ทั้ง 5 คน เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน

สำหรับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่ตรวจเรือลำเกิดเหตุ พบ DNA ของคนบนเคือติดอยู่บนเรือหลายแห่ง, บริเวณห้องน้ำเรือมีการนำของไปเก็บไว้อยู่เต็มห้องน้ำ, ตรวจสอบคราบโลหิตบนเรือไม่พบคราบโลหิต

-ข้อพิรุธ พบแก้วไวน์ 1 ใบ จึงตรวจสอบโดยรอบ พบกระติกสีดำอยู่ที่อู่เรือ เปิดดูภายในพบแก้วจำนวนหลายใบ ซึ่งยืนยันได้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือลำเดียวกับที่ใช้ในวันเกิดเหตุ ไม่ได้มีการสับเปลี่ยนเเต่อย่างใด

สำหรับผลการชันสูตรพลิกศพ

  • หญิงอายุ 36 ปี สูง 167 ซม.
  • สวมชุดว่ายน้ำเต็มตัว
  • กระดูกอยู่ในสภาพปกติ
  • ฟันไม่หัก
  • ศีรษะไม่พบรอยช้ำ
  • ตรวจแอลกอฮอล์ในตา 93 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
  • ไม่พบสารเสพติด หรือสารยามอมเมา
  • พบโคลนทั่วไปในหลอดลม และแขนงในหลอดลม

บาดแผลภายนอก 26 บาดแผล
แบ่งเป็นกลุ่มบาดแผล 10 กลุ่ม
1.บาดแผลกลุ่มใหญ่ ฉีกขาด
2.บาดแผลฉีกขาดค่อนข้างเรียบ
3.บาดแผลถลอก แนวขวาง
4.บาดแผลถลอก แนวยาว
5.บาดแผลฉีกขาด แนวยาวบริเวณข้อพับ
6.บาดแผลถลอก แนวยาวซ้าย
7.บาดแผลถลอก เข่าซ้ายด้านนอก
8.บาดแผลฟอกช้ำ บริเวณต้นขาซ้ายด้านหน้า
9.บาดแผลฟอกช้ำ บริเวณเข่าซ้าย
10.บาดแผลฟอกช้ำ บริเวณแข้งซ้าย

ยืนยันว่าบาดแผลทั้งหมดเกิดก่อนการเสียชีวิต โดยเฉพาะบาดเเผลบริเวณต้นขา ยาว 26 เซนติเมตร กว้าง 7 เซนติเมตร ลึก 1.5 เซนติเมตร ซึ่งเมื่อนำบาดเเผลมาทำกราฟฟิกเปรียบเทียบ พบว่าเข้าได้กับลักษณะของใบพัดเรือ โดยปั่นในเเนวขวางกับขาของเเตงโม อีกทั้งเจ้าหน้าที่นำใบพัดเรือไปทดสอบโดยการกดเเละปั่นกับดินน้ำมัน พบลักษณะบาดเเผลมีความเว้าโค้งเเบบเเดียวกัน ประกอบกับบาดเเผลของผู้ที่ประสบเหตุถูกใบพัดเรือในต่างประเทศ ก็มีลักษณะเดียวกับบาดเเผลบริเวณต้นขาของเเตงโม

ส่วนคลิปที่โซเชียลตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการฆาตกรรม โดยถูกตีศีรษะด้วยขวดไวน์ เเล้วโยนร่างทิ้งลงจากเรือนั้น จากไทม์ไลน์พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเเตงโมตกเรือเเล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เเตงโมจะโดนทำร้าย อีกทั้งคลิปที่ถูกถ่ายในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่คนบนเรือกำลังทำลายพยานหลักฐาน เช่น เเก้วเเละขวดไวน์ โดยการโยนทิ้งลงน้ำ

ด้าน พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ระบุว่า จากภาพหลักฐานคงไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่า แตงโมไปปัสสาวะบริเวณท้ายเรือจริงหรือไม่ เพราะมีเพียงคำให้การของนายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน เพียงคนเดียว แต่จากการเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมด ทั้งจีพีเอสของเรือ ภาพจากกล้องวงจรปิด รวมถึงผลการชันสูตรบาดแผลของแตงโม ที่สอดคล้องจังหวะการปั่นของใบพัดเรือ แพทย์สรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากการขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า มีผู้เดินไปบริเวณท้ายเรือ และหายไปจากท้ายเรือ ในเวลาประมาณ 22.34.10 น. แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าเหตุนี้เป็นการกระทำโดยประมาทอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อการต่อสู้คดีของผู้ต้องหา

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เชื่อว่าการที่บุคคลบนเรือพยายามปิดบังข้อเท็จจริงในช่วงแรกที่เกิดเหตุ เพราะทุกคนบนเรือมีอาการมึนเมาทั้งหมด และทุกคนมีการขอคำปรึกษาผู้อื่น ซึ่งแนะนำว่าให้เลื่อนการเข้าพบตำรวจ จนทำให้การค้นหาแตงโม และการตรวจร่างกายล่าช้า แต่ต่อมาพนักงานสอบสวน สามารถรวบรวมหลักฐาน จนดำเนินคดีกับบุคคลบนเรือ 5 คน และที่ปรึกษาทางคดี 1 คน โดยความผิดในข้อหาหลัก คือ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงยืนยันได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่การที่แตงโมตกน้ำเสียชีวิตเอง แต่เกิดจากบุคคลอื่น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]