กรุงเทพฯ 3 เม.ย. – ตั้งข้อหาตำรวจรีดทรัพย์สองสามีภรรยาจากการเล่นพนันออนไลน์ 400,000 บาท พระเลี่ยมทอง 1 องค์ และให้ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
ล่าสุด พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พ.ต.ต.คม และสิบตำรวจโทสังกัดกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ซึ่งเป็น 2 ใน 15 ชายฉกรรจ์ที่ไปร่วมอุ้มรีดทรัพย์สองสามีภรรยาและบุตรชาย วัย 11 ขวบ และจะลงนามให้ทั้ง 2 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนทันที เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้ว
คดีอุ้มสองสามีภรรยารีดเงินจากการเล่นพนันออนไลน์ 400,000 บาท พระเลี่ยมทอง 1 องค์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุผู้เสียหายทั้ง 2 คน พร้อมบุตร 1 คน ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน. บางนา ในวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้เร่งติดตามตัวชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งมาดำเนินคดี
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีชายฉกรรจ์ที่ร่วมกันก่อเหตุมีประมาณ 10-15 คน ในจำนวนนี้พบว่าเป็นตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. และตำรวจสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 5
พ.ต.ต.คม หนึ่งในผู้ต้องหา ได้เดินทางเข้ามอบตัวที่ สน.บางนา พนักงานสอบสวนได้แจ้งดำเนินคดีรวม 3 ข้อหา คือ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง, ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำให้สูญเสียซึ่งอิสรภาพ
ทั้งนี้ ในระหว่างจะคุมตัวออกจากห้องสอบสวน เกิดเหตุชุลมุนอยู่หน้าโรงพักอยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนตำรวจจะล็อกตัวขึ้นรถตู้ออกไปศาลอาญาพระโขนง เพื่อขออำนาจฝากขัง
ด้าน พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ขณะนี้ทราบตัวแล้ว 6 คน ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 4 คน อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวตนและติดตามตัวมาดำเนินคดี ส่วนกรณีมีชื่อตำรวจสังกัดนครบาล 5 ปรากฏอยู่ในใบบันทึกการให้ถ้อยคำด้วย 2 นาย การตรวจสอบพบว่า 1 นาย อยู่ระหว่างพักงานรักษาตัว เพราะป่วยติดเชื้อโควิด-19 ส่วนอีก 1 นาย ให้ข้อมูลว่าไม่ได้ร่วมปฏิบัติงานตามที่ปรากฏในใบบันทึกการให้ถ้อยคำ พร้อมมีผู้บังคับบัญชาร่วมยืนยัน แต่ที่ชื่อไปปรากฏคาดว่าเพราะในอดีตเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.คม สมัยทำงานอยู่ภายใต้สังกัดกองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 3 ก่อนจะย้ายมาสังกัด สอท. จึงถูกนำชื่อไปใช้
ให้ตำรวจนอกรีตออกจากราชการไว้ก่อน
ล่าสุด พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พ.ต.ต.คม และสิบตำรวจโทสังกัดกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ซึ่งเป็น 2 ใน 15 ชายฉกรรจ์ที่ไปร่วมอุ้มรีดทรัพย์สองสามีภรรยาและบุตรชาย วัย 11 ขวบ และจะลงนามให้ทั้ง 2 นาย ออกจากราชการไว้ก่อนทันที เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้ว
ผู้เสียหายห่วงความปลอดภัยหลังชัดผู้ต้องหามีตำรวจเอี่ยว
ช่วงเย็นวานนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ยุทธศิลป์ การินทร์ รอง ผกก.สอบสวน สน.บางนา เพื่อนำพยานหลักฐานเข้าให้เพิ่มเติมในคดีอุ้มรีดเงินนักพนันออนไลน์ โดยได้นำตัวแม่ของผู้เสียหายเดินทางเข้าให้ปากคำกับตำรวจ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่นำตัวพยานขึ้นไปสอบปากคำที่ชั้น 2 ของโรงพัก
นายษิทรา เปิดเผยว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 คน กังวลในเรื่องของความปลอดภัย ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ แต่วันนี้ทราบแล้วว่าเป็นตำรวจจริง 2 นาย ส่วนอีก 2 นาย ไม่ได้มาด้วย แต่ถูกใส่ชื่อเข้าไปในบันทึกจับกุม ส่วนที่เหลือเป็นพลเรือน สำหรับผู้เสียหายทั้ง 2 คน ขณะนี้ยังติดต่อไม่ได้ แม้แต่มารดาก็ยังติดต่อได้ มีเพียงหนึ่งในผู้เสียหายได้โทรศัพท์ติดต่อมาหาแต่ไม่ได้รับสาย ก่อนจะโทรกลับไป ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้รับสายเช่นกัน แต่เมื่อติดต่อไปทางมารดาได้มีการพูดคุยและเชิญมาให้ปากคำ พร้อมชี้รูปเพื่อใช้ประกอบสำนวนคดี ซึ่งผู้เสียหายกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจ ส่วนผู้เสียหายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องกลัว
นายษิทรา กล่าวว่า ในส่วนของคดีไม่มีความกังวลแต่อย่างใด จากการพูดคุยกับ ผกก.สน.บางนา และทีมพนักงานสอบสวน ทราบว่าได้ออกหมายจับเพิ่มเติมแล้ว คาดว่าจะจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้ครบทุกคน มั่นใจการทำงานของตำรวจ เนื่องจากรอง ผบ.ตร. ลงมาดูคดีนี้ด้วยตัวเอง และหลังจากที่ได้โพสต์เรื่องนี้ลงโซเชียล ตำรวจใช้เวลาเพียง 2 วัน ตำรวจก็รู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว ซึ่งเป็นการทำงานที่รวดเร็ว ต้องขอชื่นชม
นายษิทรา กล่าวว่า สำหรับ พ.ต.ต.คม ส่วนตัวคาดว่าไม่ใช่ตัวการใหญ่ เป็นเพียงแค่มือไม้ที่ลงมาทำเท่านั้น ส่วนตัวการใหญ่คาดว่าจะเป็นเจ้าของเว็บพนันนั่นเอง และคาดว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เช่นนั้นไม่มากระทำลักษณะนี้ ยืนยันว่าไม่รู้จัก พ.ต.ต.คม เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด และทราบว่าก่อนหน้านี้ พ.ต.ต.คม มีประวัติข่มขู่วินรถตู้ที่ย่านบางบัวทอง เมื่อปี 2556 มาแล้ว
ส่วนเงินที่ได้มาจากการเล่นพนันที่เหลืออยู่นั้น ตามขั้นตอนเงินที่ได้มาจากการพนันนั้นเมื่อจ่ายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคืน และหากดำเนินคดีเรื่องเกี่ยวกับการพนัน ซึ่งทางผู้เสียหายยอมรับว่าเล่นจริง หากถูกตำรวจแจ้งข้อหาก็พร้อมขึ้นศาล เพื่อรับการไต่สวนเสียค่าปรับเท่านั้น.-สำนักข่าวไทย