ร้อง DSI รับคดี “แตงโม” เป็นคดีพิเศษ

กรุงเทพฯ 22 มี.ค. – “รสนา โตสิตระกูล-นิติธร ล้ำเหลือ” ยื่น 11 ปมสงสัยคดี “แตงโม” เสียชีวิตให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ


น.ส.รสนา โตสิตระกูล พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เข้ายื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เพื่อให้รับคดีการเสียชีวิตของนางสาวภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม เป็นคดีพิเศษ โดยมี พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้รับเรื่อง

น.ส.รสนา กล่าวว่า การมายื่นหนังสือในวันนี้มีข้อสงสัยในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ กรณีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งมีการดำเนินคดีไปในข้อหา “ประมาท” หรือ “อุบัติเหตุ” แต่พฤติการณ์และพยานหลักฐานที่ปรากฏต่อสาธารณะบ่งชี้ว่า เป็นคดีที่อาจมีลักษณะเป็นการฆาตกรรมอำพรางโดยมีขบวนการของผู้มีอิทธิพล และมีกระบวนการทำลายพยานหลักฐาน จัดทำหลักฐานใหม่ และอาจมีการเบี่ยงเบนประเด็นผลการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน ผลการตรวจทางนิติเวช และนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจเกิดจากผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง โดยมีประเด็นข้อสังเกต 11 ประเด็น 1.การดำเนินการเปลี่ยนสถานที่ชันสูตรศพโดยกะทันหัน รวมถึงการให้ดำนินการเอาศพกลับมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี


2.การดำเนินการในการเข้าถึง รวบรวม อายัด ตรวจพยานหลักฐานตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เป็นไปโดยฉับพลันทันที อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานได้ 3.ความล่าช้าในการดำเนินการเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ต้องสงสัย ผู้อยู่ในความควบคุมกำกับดูแลของพนักงานสอบสวน ทำให้เสียโอกาสในการตรวจสภาพร่างกาย เครื่องแต่งกาย ร่องรอยต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจหาแอลกอฮอล์ และสารเสพติด 4.แนวทางการตั้งประเด็นสืบสวนสอบสวนปรากฏตามสื่อมวลชนช่วงแรกว่า เป็นเรื่องประมาท-อุบัติเหตุเป็นการตั้งประเด็นที่คับแคบ มีผลต่อการสอบปากคำ การค้นหาพยานหลักฐาน พยานแวดล้อม พฤติการณ์ต่าง ๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องคับแคบตามไปด้วย ทั้งที่สภาพของศพปรากฏร่องรอยบาดแผลอยู่หลายแห่ง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการช่วยชีวิตตัวเองในน้ำ

5.ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตตกไปในน้ำได้อย่างไร และทำไมถึงไม่สามารถประคองตัวเองให้อยู่ในน้ำได้แม้ชั่วขณะเวลาหนึ่ง อันจะมีผลให้มีการช่วยเหลือได้ทันเวลา 6.ประเด็นไม่ชัดเจนว่า ขณะที่ตกในน้ำผู้เสียชีวิตอยู่ในสภาวะหมดสติหรือไม่ 7.ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีการตรวจพื้นดินใต้น้ำตรงบริเวณที่อ้างว่าตกน้ำและบริเวณที่พบศพหรือไม่ เพื่อพิสูจน์ว่า เศษวัตถุต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกายของผู้เสียชีวิตมีลักษณะตรงกันหรือไม่ 8.การตรวจโรงเก็บเรือมีการตรวจโดยละเอียดหรือไม่ มีการเคลื่อนย้าย ถอดถอน กล้องวงจรปิดหรือไม่ มีการทำผนัง ทาสีใหม่หรือไม่

9.การตรวจสอบรายละเอียดถึงต้นทางและศูนย์เก็บข้อมูลเครื่องมือสื่อสารทุกประเภทของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งหมายเลขโทรศัพท์ ข้อความในแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด GPS รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขอื่น ๆ ที่บริเวณที่เกิดเหตุ บริเวณท่าเรือ โรงเก็บเรือ ว่ามีผู้ใดใช้เครื่องมือสื่อสารในช่วงเวลาก่อนและหลังเกิดเหตุ โดยตรวจจากเครือข่าย และจุดเชื่อมต่อสัญญาณ จุดส่งสัญญาณ รายละเอียดภาพถ่ายจากเครื่องมือสื่อสาร 10.ปัจจุบันยังไม่มีการอายัดเพื่อดำเนินการตรวจเรือในลักษณะที่เป็นประเภท ชนิดเดียวกัน หรือคล้ายคลึง หรือใกล้เคียงกัน เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ รวมทั้งเรือ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการซ่อมบำรุงซ่อมแซม เปลี่ยนแปลงสภาพฯ 11.สภาพการสืบสวนสอบสวนโดยเจ้าพนักงานสีบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เสมือนอยู่ในลักษณะที่ไม่อาจคันหาความจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนยากต่อการยอมรับการให้ความเชื่อมั่น


น.ส.รสนา ระบุว่า การเสียชีวิตของแตงโมเป็นเรื่องที่สังคมเกิดความกังวลและสงสัยต้องการที่จะให้มีการพิสูจน์ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถือว่ากรณีนี้กระทบต่อความปลอดภัยของผู้หญิง ที่อาจจะเป็นผู้ที่ถูกกระทำมากที่สุดในสังคมไทย จึงได้นำหนังสือมายื่นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้มีการนำข้อร้องเรียนและประเด็นสงสัยเสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อรับเป็นคดีพิเศษก่อนที่หลักฐานพยานวัตถุทั้งหลายจะสูญหาย

ด้านนายนิติธร กล่าวว่า มีข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยเฉพาะบาดแผลหลายแห่ง รวมทั้งร่องรอยต่าง ๆ ที่พบบนร่างของผู้เสียชีวิต เกิดก่อนหรือหลังตกน้ำ ขณะที่จมน้ำบุคคลบนเรือมีการช่วยเหลือแตงโมหรือไม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การไม่ช่วยถือว่าเล็งเห็นผลทำให้เสียชีวิต ข้อหาอาจเปลี่ยนไป ต้องทำให้ละเอียด ซึ่งข้อสงสัยดังกล่าวต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานการสืบสวนสอบสวนที่ว่า “กรณีพบผู้เสียชีวิตในน้ำให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า การจมน้ำอาจไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว และสถานที่ จุดที่พบผู้เสียชีวิตอาจไม่ใช่สถานที่ จุดที่เกิดเหตุเสมอไป รวมทั้งจะต้องตรวจใต้พื้นน้ำว่ามีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่

พ.ต.ท.สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า กรณีนี้อยู่นอกเหนือจากความผิดตามพระราชบัญญัติสอบสวนคดีพิเศษ จะต้องเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณา ต้องมีกระบวนการรับเรื่องไว้สืบสวนในเบื้องต้นก่อน หลังจากคณะกรรมการคดีพิเศษจะพิจารณาว่าสมควรจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจะได้นำประเด็นที่ทางผู้ร้องตั้งไว้นำมาพิจารณาซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากซับซ้อนเพราะฉะนั้น ต้องรอคณะกรรมการคดีพิเศษที่จะพิจารณาว่าสมควรให้ดีเอสไอทำหรือไม่.- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]