เปิดใจ “พ่อค้าเสื้อวินเทจ” จ่ายเงินไม่ได้ของ ยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กรุงเทพฯ 6 ธ.ค. – เปิดใจพ่อค้าโดนโกง โอนเงินเป็นหมื่นซื้อเสื้อวินเทจแต่ไม่ได้ของ บุกตามทวงถึงบ้าน เจอแม่ค้าเรียกเพื่อนมารุม พบมีประวัติโกงคนในลักษณะนี้มาแล้วหลายราย ยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด


นี่เป็นจังหวะที่วัยรุ่นเกือบ 20 คน กำลังชุลมุนต่อยตีกันกลางถนนประชาอุทิศ ปากซอยประชาอุทิศ 58 แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร พบว่าบางคนใช้อาวุธมีด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งครุ รีบเข้าระงับเหตุ และระหว่างนั้นยังเห็นมีประชาชนถ่ายคลิปเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นเอาไว้ หลังเจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุ พบว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่หยุด ยังตามมาด่ากันต่อ

ในเสียงที่ทะเลาะกันจะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ “ตี๋” ทราบภายหลังว่านายตี๋คนนี้คือคนที่สั่งซื้อเสื้อวินเทจ 10 ตัว ผ่านเพจ และโอนเงินไปแล้ว 14,950 บาท แต่ไม่ได้เสื้อ จึงตามมาทวงที่บ้านภายในซอยประชาอุทิศ 58 เขตทุ่งครุ แต่เจ้าของบ้านกลับต่อว่าต่างๆ นานา และเกิดปะทะคารมกันรุนแรง จนเป็นที่มาของต่างฝ่ายต่างไลฟ์ทางเฟซบุ๊กของตน ซึ่งฝั่งนายตี๋ยังรู้มาอีกว่าเจ้าของบ้านยังโกงในลักษณะไลฟ์หลอกขายเสื้อแนววินเทจแบบนี้ มีผู้เสียหายอีกหลายคน


นายตี๋เล่าว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ได้สั่งซื้อและนัดหมายรับเสื้อกันที่ย่านสำโรง แต่รอ 2 ชั่วโมง กลับไร้วี่แวว โทรไปก็ไม่รับสาย และถูกบล็อกเฟซบุ๊ก จึงมั่นใจว่าโดนโกง จึงไปแจ้งความที่ สภ.สำโรง แต่โดนปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เหตุผลว่าต้องไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน. พื้นที่เกิดเหตุ ตนจึงกลับบ้านย่านห้วยขวาง แล้วเข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง เจ้าหน้าที่รับแจ้งความเอาไว้แล้ว แต่ด้วยความร้อนใจ เมื่อสืบทราบว่าบ้านของคนที่หลอกตนอยู่ภายในซอยประชาอุทิศ 58 จึงตัดสินใจขับรถมากับแฟน แล้วมาเจรจาขอเสื้อที่เสียเงินซื้อไปแล้ว แต่กลับโดนต่อว่า เเล้วเรียกพวกมารุมทำร้ายตน ส่วนภาพที่เห็นในคลิปคือคนที่อยู่ในละแวกแถวนี้มาช่วย เพื่อไม่ให้ตนและแฟนสาวโดนรุมทำร้าย จึงกลายเป็นว่าภาพที่ออกไปเหมือนมีกลุ่มวัยรุ่นยกพวกตีกัน ซึ่งตนโดนมีดฟันที่ขา

ด้านแม่เจ้าของบัญชีที่รับโอนเงิน บอกว่าไม่รู้เรื่อง ลูกสาวเป็นเจ้าของบัญชีที่รับโอนเงินค่าเสื้อเท่านั้น และลูกสาวก็ไม่ได้อยู่กับตน เมื่อมีคนมาตามหาที่บ้าน ตนก็ชวนป้าข้างบ้านไปบ้านของแฟนลูกสาวอีก เพื่อจะไปบอกไปไกล่เกลี่ยจะได้จบกันไป แต่ไปแล้วไม่เจอทั้ง 2 คน เจอแต่น้องของแฟนลูกสาว ป้าข้างบ้าน คือ ป้าเต่า อายุ 60 ปี เล่าว่าก็บอกให้เอาเสื้อให้เขาไป ซื้อขายกันแล้วจะได้จบๆ กันไป น้องที่บ้านก็ไม่ยอม ด่าทอกลับมา พอบอกให้เอาเสื้อลงมาก็ทำทีขึ้นไป แต่กลับถืออาวุธลงมา

ด้านพลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้มีผู้บาดเจ็บ 2 คน ผู้ก่อเหตุประมาณ 20 คน ได้สั่งการ สน.ทุ่งครุ รวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนการแจ้งข้อหาจะเป็นทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่สาหัส หรือการชุลมุนต่อสู้ ต้องรอพนักงานสอบสวนตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ จะเน้นย้ำเรื่องยุทธวิธีเข้าระงับเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมต่อไป


รอง ผกก.ทุ่งครุ เร่งตรวจวงจรปิด ก่อนแจ้งข้อหา
พันตำรวจโทสุวัตน์ องตอง รองผู้กำกับการสอบสวน สน.ทุ่งครุ ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นให้ผู้เสียหายลงบันทึกประจำวันไว้ และให้ไปตรวจร่างกายเพื่อนำใบรับรองแพทย์มาแจ้งความ และวันพรุ่งนี้ได้เรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมถึงประเด็นที่ผู้เสียหายร้องว่าถูกทำร้ายด้วยอาวุธมีด ส่วนอีกฝ่ายยังไม่ทราบว่าจะมาแจ้งความหรือไม่ แต่ผู้เสียหายได้ลงบันทึกประจำไว้ที่ สน.ห้วยขวาง เป็นอำนาจหน้าที่ของ สน.ห้วยขวาง ในการออกหมายเรียกอีกฝ่ายไปสอบปากคำเพิ่มเติม และขณะนี้ได้ให้ฝ่ายสืบสวนติดตามภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม และเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาและดำเนินคดีต่อไป

เปิดใจ “พ่อค้าเสื้อวินเทจ” จ่ายเงินไม่ได้ของ ยันเอาเรื่องถึงที่สุด
ทีมข่าวสำนักข่าวไทยไปที่บ้านของนายตี๋ พ่อค้าเสื้อมือ 2 ชี้ให้ดูร่องรอยบาดแผลถูกคู่กรณีใช้มีดฟันที่ขาขวาด้านหลัง เป็นรอยแผลยาวประมาณ 1 คืบ และยังมีอาการบาดเจ็บจากการถูกถีบที่ลำตัว ส่วนแฟนสาวที่ไปทวงถามเงินค่าเสื้อมือ 2 ด้วยกันถูกจิกหัวตบและเตะ ตามภาพที่มีการไลฟ์เหตุการณ์ในเฟซบุ๊ก หลังเกิดเหตุได้ไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งครุ จากการตรวจร่างกายที่ รพ.เพชรเวช แพทย์นัดหมายให้ไปรับผลการตรวจร่างกายในสัปดาห์หน้า

นายตี๋บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักกับนายดำ คู่กรณีที่ติดต่อซื้อขายเสื้อมาก่อน แต่ถูกทักมาทางเฟซบุ๊ก เชื่อใจเพราะเห็นว่าระหว่างการพูดคุยมีการวิดีโอคอลให้เห็นตัวตนและสินค้า จึงโอนเงินให้ไป 3 ครั้งรวม 14,950 บาท นัดหมายส่งเสื้อที่ห้างอิมพีเรียล สำโรง สุดท้ายคู่กรณีไม่มาตามนัด และบล็อกเฟซบุ๊ป จึงไปแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง และประกาศตามหาเบาะแสทางโซเชียล จนมีคนรู้จักและเคยถูกคู่กรณีหลอกลวง ให้เบาะแสที่อยู่ย่านทุ่งครุ ก่อนไปตามหาที่บ้านพักได้ติดต่อตำรวจ สน.ห้วยขวาง ให้ช่วยติดตาม แต่ถูกตำรวจปฏิเสธ อ้างว่าคดีฉ้อโกงมีเยอะ และไม่มีอำนาจ จึงไปติดต่อ สน.ทุ่งครุ เจ้าของพื้นที่ ให้เบอร์ติดต่อหากมีเหตุฉุกเฉิน

นายตี๋บอกว่าตอนแรกไม่ต้องการเอาเรื่อง แต่หลังถูกรุมทำร้าย เปลี่ยนใจจะดำเนินคดีกับคู่กรณีและพวกจนถึงที่สุด เพราะเจตนาโกงและมีประวัติโกงคนในลักษณะนี้มาแล้วหลายราย ที่สำคัญยังพาพวกมารุมทำร้ายตนและแฟนสาว พร้อมฝากเป็นอุทาหรณ์ การซื้อขายของทางออนไลน์ให้ระมัดระวังมิจฉาชีพ ก่อนโอนเงินต้องตรวจสอบให้รอบคอบ และใช้วิธีซื้อขายโดยตรงแบบเห็นตัวเห็นของจะดีที่สุด.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง