กรุงเทพฯ 26 ต.ค. – พนักงานสอบสวนกองปราบปรามเตรียมสรุปสำนวนคดีอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิต ส่งอัยการได้ในสัปดาห์นี้
พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีที่ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวก รวม 7 คน ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดเสียชีวิต ที่ จ.นครสวรรค์ เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรียกคณะทำงานประชุมเพื่อสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ร่วมประชุม
พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้จะนำคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ในคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจิระพงศ์ หรือมาวิน ผู้เสียชีวิต เข้าประกอบในสำนวน เพื่อพิจารณา รวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนรวบรวมได้ เป็นที่น่าพอใจ เพื่อจะสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ ภายในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งคำพิพากษาของศาลระบุว่านายมาวินเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนคดีเกี่ยวกับการครอบครองรถหรูที่อดีตผู้กำกับโจ้เข้าไปดำเนินการจับกุมกว่า 400 คัน วันนี้ในที่ประชุมก็มีการหารือด้วย ซึ่งบางประเด็นต้องรอพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบสำนวน แต่เชื่อมั่นว่าสามารถดำเนินคดีกับอดีตผู้กำกับโจ้ และผู้เกี่ยวข้องได้
เบื้องต้นพบร่องรอยความผิดปกติตั้งแต่การตรวจยึดจับกุม สินบนนำจับ และการขายทอดตลาด สำหรับประเด็นการร้องเรียนอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับผลประโยชน์ ชุดคลี่คลายคดีก็จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวด้วย
มีรายงานจากชุดสืบสวนสอบสวนกองปราบปรามว่าสำนวนคดีฆ่านายมาวิน ของอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ขณะนี้พนักงานสอบสวนกองปราบ รวบรวมพยานหลักฐานได้ครบ 100% แล้ว โดยเฉพาะคำพิพากษาศาลจังหวัดนครสวรรค์ ยืนยันสำนวนรัดกุมเพียงพอ ซึ่งจะส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการได้ในสัปดาห์นี้
สำหรับอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ถูกแจ้งดำเนินคดีรวมทั้งหมด 4 ข้อหา เป็นข้อหาเดิม 3 ข้อหา คือ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด, ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ทรมานโดยกระทำทารุณโหดร้าย โดยสำนวนคดีหลักที่เกี่ยวกับการฆาตกรรม และข้อหาล่าสุดเป็นข้อหาที่ 4 ตามมาตรา 172 คือ เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
นอกจากคดีอาญาแล้ว คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของจเรตำรวจ ยังมีมติชี้มูลว่าการกระทำของอดีตผู้กำกับโจ้ และพวก ถือว่ามีความผิดตามข้อเท็จจริง ตามพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ โดยได้ดำเนินการเข้าไปแจ้งข้อหาวินัยร้ายแรง กับทั้ง 7 คน ที่เรือนจำกลางคลองเปรมแล้วเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยอดีผู้กำกับโจ้และพวกมีสิทธิชี้แจง ให้กับทางคณะกรรมการทราบภายใน 15 วัน โดยหลังจากที่ทั้ง 7 คน ได้ทำการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ส่งกลับมาทางคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงเเล้วนั้น จเรตำรวจจะนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดในการโต้แย้งคำชี้แจง ก่อนเสนอให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พิจารณาคำสั่งวินัยร้ายแรงใน 2 กรณี คือให้ออกจากราชการ และไล่ออกจากราชการ.-สำนักข่าวไทย