กรุงเทพฯ 27 ส.ค. – อดีตนายตำรวจมองการแถลงข่าวจับกุม “อดีตผู้กำกับโจ้” กลายเป็นหนังคนละม้วน ผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก
มีความเห็นจากอดีตนายตำรวจมองว่าการแถลงข่าวจับกุมผู้กำกับโจ้ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับโจ้ เมื่อวานนี้ กลายเป็นหนังคนละม้วน ผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรองจเรตำรวจ บอกว่า ดูเหมือนการแถลงข่าวเมื่อคืนที่ผ่านมาจะเป็นหนังคนละม้วนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดูเหมือนผู้ร้ายกลายเป็นพระเอกไป มาบอกว่าทำเพื่อบ้านเมือง ทำเพื่อราชการ ส่วนประเด็นที่สังคมจับตาคือ เรื่องรีดเอาทรัพย์ 2 ล้านบาท ข้อมูลตรงนี้หายไปไหน
คดีนี้ไม่ควรให้ตำรวจทำหน้าที่สอบสวนอีกต่อไป แต่ต้องให้อัยการสอบ เพราะเป็นการตายของผู้ต้องหา อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงาน
พ.ต.อ.วิรุตม์ ยังมองว่า การแถลงเมื่อคืนนี้ ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้โดนโทษประหารชีวิต เพราะถ้ามีเรื่องการรีดเอาทรัพย์ไปด้วย โทษคือประหารชีวิตสถานเดียว แต่ถ้าโดนแค่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา โทษคุกแค่ 15 ปี และเมื่อรับสารภาพอีก โทษก็ลดอีก ติดจริงก็ไม่กี่ปี ถ้ารีดเอาทรัพย์ก็ต้องโดนยึดทรัพย์ด้วย และคดีนี้ควรโอนให้ดีเอสไอ ไม่ใช่กองปราบฯ
พ.ต.อ.วิรุตม์ ยังฝากถึงนายกรัฐมนตรีว่า แสดงออกเบาไป บอกแค่ไม่สบายใจ นุ่มนิ่มเกินไป ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่ต้องปฏิรูปโครงสร้างตำรวจใหม่ ให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นธรรมกับตำรวจทุกนาย และให้จังหวัดเข้ามาควบคุมดูแลการทำงานของตำรวจเช่นเดียวกับต่างประเทศ
“ส.ว.วันชัย” ชี้นำอดีต ผกก.โจ้ มาแถลงข่าว ไม่มีผลต่อการตัดสินคดี
ส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าทำไมช่วงแรกไม่มีการใส่กุญแจมืออดีตผู้กำกับโจ้ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา และทนายความชื่อดัง มองว่า เจ้าหน้าที่อาจจะมั่นใจว่าไม่หนี และกฎหมายก็เปิดช่องให้ทำได้ แต่ตำรวจต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการ ไม่ควรทำอะไรให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่ว่าผู้ต้องหาจะให้การอย่างไร ก็ไม่มีผลต่อคดี เพราะการตัดสินคดีไม่ได้ตัดสินจากการปฏิเสธของผู้ต้องหา และยังเชื่อในผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่บอกว่านิ้วไหนร้ายต้องตัดทิ้ง เพื่อให้เหลือนิ้วดีๆ ตำรวจดีๆ เอาไว้ทำงาน
“วิชา” ชี้นำถุงดำคลุมหัวมีเจตนาฆ่า
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ได้ยกตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 5332/60 ซึ่งพิพากษาไว้ในหลักการและลักษณะที่ชัดเจน โดยวินิจฉัยว่า การนำถุงคลุมหัวย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้กระทำย่อมเล็งเห็นว่าผู้ถูกกระทำย่อมขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ จึงวางหลักในคดีไว้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ซึ่งกรณีนี้มีความชัดเจนอยู่แล้ว และขอใช้คำว่าอย่าปิดเแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ.-สำนักข่าวไทย