กทม.-26 ส.ค.- 2 ทนายความชื่อดัง ต่างประกาศเดินหน้าพิสูจน์ข้อเท็จจริง หลังมีการให้ข้อมูลว่ามีคนในแวดวงนักกฎหมายใช้คลิปภาพคดีผู้กำกับโจ้ ซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติดไปต่อรองหาประโยชน์
หลังเกิดการตอบโต้กับระหว่างทนายความชื่อดัง ที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้มีการดำเนินคดี พันตำรวจเอกธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ที่ถูกศาลจังหวัดนครสวรรค์ออกหมายจับ ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น,และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย หลังร่วมกับพวกซึ่งเป็นนายตำรวจในบังคับบัญชารวม 7 คน ก่อเหตุใช้ถุงดำคลุมหัวและรัดคอผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตายในห้องทำงานของปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดของ สภ. เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม
วันนี้(26 ส.ค.)ทนายความชื่อดังทั้ง 2 คน ต่างออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงของตัวเอง ตามสื่อต่างๆ โดยนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ที่ตนเองออกมาระบุว่ามีบุคคลในวงการนำคลิปภาพเหตุการณ์ไปใช้เพื่อต่อรองกับผู้กำกับโจ้ หาผลประโยชน์นั้น เพราะได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากคนวงในที่เป็นผู้พยายามออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้เสียชีวิต
ส่วนจำนวนเงินที่ระบุว่ามีการต่อรองให้เรื่องเงียบด้วยเงินจำนวน 20 ล้านบาท นั้น เป็นข้อมูลจากสายลับส่งมาให้ตน ซึ่งเรื่องแบบนี้เคยมีเกิดขึ้นในวงการ เป็นการฝ่าฝืนศีลธรรม ผิดมรรยาททนายความ การที่คู่กรณีประกาศจะฟ้องร้องตนนั้นไม่มีความกังวลเพราะเชื่อมั่นในข้อมูลของตัวเองว่ามีความการกระทำนั้นจริงและเป็นประโยชน์สาธารณชนและสังคม โดยเข้าข้อยกเว้นของข้อหาหมิ่นประมาท เชื่อว่าสภาทนายความจะเข้ามาตรวจสอบพฤติกรรมนักวิชาชีพทนายความมากขึ้น
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความที่อ้างว่าถูกทนายษิทรา กล่าวพาดพิงให้ร้าย แสดงหลักฐานว่า ได้คลิปภาพเหตุการณ์มาในวันเดียวกันกับที่ทนายษิทรานำมาเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ค ไม่ได้มีการเก็บเอาไว้เพื่อต่อรองกับกลุ่มผู้กระทำความผิด โดยยืนยันว่าคลิปภาพเหตุการณ์นั้นมีสื่อมวลชนทางเฟซบุ๊คส่งมาให้และเริ่มถูกนำไปกระจายต่อในวงการตำรวจแล้ว การจะนำไปต่อรองกับผู้กระทำผิดจึงไม่มีประโยชน์และเป็นไปไม่ได้ว่าจะทำให้เรื่องดังกล่าวยุติไป และหากผู้กล่าวหามั่นใจก็ควรกล่าวโทษดำเนินคดีตัวเองให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานหลักฐานไปทำการสอบสวน
ส่วนความเสียหายที่ตัวเองได้รับนั้นปรากฏว่ามีการส่งข้อความอ้างอิงว่าทนายคลายทุกข์นำคลิปภาพไปต่อรองกับผู้กระทำผิด ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นทนายเดชา ทำให้มีผู้ในในวงการกฎหมายและสื่อมวลชน มาสอบถามตนเองจำนวนมากจากนี้จะเดินหน้าดำเนินคดีผู้ที่ทำให้ตนเองได้รับความเสียหาย ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา หรือ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) รวมทั้งอาจร้องเรียนให้คณะกรรมการมรรยาททนายความ สถาทนายความ เข้ามาตรวสอบพฤติกรรมของคู่กรณี และขอฝากผู้ประกอบวิชาชีพทนายความทุกคน การแสดงความคิดเห็นทางกฎหมายเป็นเรื่องมุมมองแต่ละคน การต่อสู้คดีความก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริง อย่าทำอะไรที่นอกเหนือความจริง.-สำนักข่าวไทย