กทม. 9 เม.ย.- ผบช.สตม. พร้อมทีมแพทย์กรมควบคุมโรค-รพ.ตำรวจ ตรวจขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ต้องกักติดโควิดที่รักษาหายจาก รพ.สนาม ไป ตม.สวนพลู รอผลักดันกลับประเทศต้นทาง
นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ แพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ และ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปตรวจดูขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ต้องกักที่ติดโรคโควิด-19 อยู่ที่โรงพยาบาลสนามชั่วคราว โรงยิมสวัสดิการตำรวจ และได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว จำนวน 82 ราย ไปยังห้องกัก 1 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู เพื่อรอผลักดันส่งกลับประเทศต่อไป
โดยเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ทีมแพทย์ได้สำรวจและจัดทำรายชื่อผู้ต้องกักทุกรายจำแนกรายห้อง และได้ติดทะเบียนรายชื่อไว้หน้าห้องทุกห้อง เพื่อตรวจสอบจำนวนรายชื่อ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดกรองเชิงรุกและการควบคุมโรคต่อไป โดยมีการจัดแบ่งผู้ต้องกักเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ต้องกักที่ตรวจหลังกักตัวครบ 14 วัน แล้วผลตรวจเป็นลบ และภูมิคุ้มกันขึ้น และผู้ต้องกักที่ตรวจหลังกักตัวครบ 14 วัน ผลตรวจเป็น inconclusive คือ มีซากเชื้ออยู่ แต่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้ และภูมิคุ้มกันขึ้น
พล.ต.ท.สมพงษ์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องกักที่ติดเชื้อมีทั้งหมด 400 คน รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสนาม โรงยิมสวัสดิการตำรวจ 200 คน และรักษาตัวอยู่ที่สถานกักกัน ตม.บางเขน อีก 200 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องกักอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังอีก 154 คน อยู่ที่สถานกักกัน ตม.บางเขน โดยแยกส่วนกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยที่โรงพยาบาลสนาม โรงยิมสวัสดิการตำรวจ มีผู้ต้องกักที่รักษาหายแล้ว 82 คน ในส่วนตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พบว่ามีติดเชื้อ 6 นาย รักษาหายแล้ว 4 นาย อีก 2 นาย อาการดีขึ้นเป็นลำดับ
ด้าน นพ.ปรีชา เปิดเผยว่า จะต้องตรวจ 3 รอบ จนให้แน่ใจว่าไม่มีเชื้อหลงเหลือไปแพร่สู่ผู้อื่นได้อีก อย่างไรก็ตาม ก็ต้องดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง นอกจากนึ้ ได้มีการเตรียมแผนตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนการที่ผู้ติดเชื้อปกปิดไทม์ไลน์ มีความผิดที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน บทลงโทษจะต้องไปดูในข้อกฎหมายอีกที ซึ่งได้ให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาอยู่ จึงขอร้องให้ผู้ติดเชื้อเปิดเผยไทม์ไลน์กับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เป็นการประจาน แต่เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม.-สำนักข่าวไทย