กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – เจ้าของบ้านรับร่วมปาร์ตี้เสพยากับ “พริตตี้วาวา” จ่อแจ้งข้อหา จากการตรวจร่างกาย “พริตตี้วาวา” พบสารเสพติด 3 ชนิด และยานอนหลับ ล่าสุดผู้ร่วมปาร์ตี้เข้าให้ปากคำเพิ่มอีก 1 คน เหลืออีก 5 คน
พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนางสาววิชญาพร วิเศษสมบัติ หรือพริตตี้วาวา เสียชีวิตในงานปาร์ตี้ย่านเสนานิคมว่า จากการสอบปากคำกลุ่มพริตตี้ที่ร่วมปาร์ตี้ในงานว่ามีการเสพยาเสพติดมากกว่า 1 ชนิด จากการตรวจหาสารในร่างกาย เเต่จะเป็นการบังคับหรือยินยอมเสพเองหรือไม่ อยู่ระหว่างการสอบสวน
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า หลังจากสอบปากคำนายกอล์ฟ อายุ 41 ปี เจ้าของบ้านหลังเกิดเหตุ ยอมรับว่าเป็นคนจัดให้มีปาร์ตี้จริง และยอมรับว่าเป็นคนขับรถพาพริตตี้วาวาไปส่งที่โรงพยาบาล โดยหนึ่งในรายละเอียดการสอบปากคำเจ้าตัวรับว่ามีการใช้สารเสพติดภายในงาน ซึ่งตรงกับคำให้การของผู้ร่วมงานรายอื่น แต่ปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ายาเสพติดเป็นของผู้ใด โดยภายในงานมีการนำยาเสพติด 2 ชนิด คือ ยาเค เเละยาอี มาวางไว้ให้ผู้ร่วมปาร์ตี้เสพได้ตลอดเวลา แต่ผลชันสูตรในร่างของพริตตี้วาวา พบสาร 4 ชนิด ได้เเก่ เมทแอมเฟตามีน, ยาเค, ยาอี เเละยานอนหลับไดอาซีแพม ส่วนจะเสพยาชนิดใดบ้างไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าตัวผู้ตายเสพแยกแต่ละชนิด หรือนำมาผสมรวมกันเองแล้วจึงเสพเข้าร่างกาย ที่คล้ายกับกรณีการเสพยาเคนมผง จนทำให้เสียชีวิตหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกด้วยว่าจะดำเนินการคดีกับผู้ต้องหา ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เเละ พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ รวมทั้งเตรียมพิจารณาแจ้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดด้วย
สำหรับการใช้ยาเสพติดนั้น ยังไม่มีผลแพทย์ระบุออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ผลการชันสูตรพลิกศพจากแพทย์ผู้ผ่า เบื้องต้นพบสารเสพติดบางชนิดในร่างกายพริตตี้วาวา ได้แก่ เคตามีน ยาอี ยาบ้า และยานอนหลับไดอาซิแพม แต่จะส่งผลต่อการตายหรือไม่ ต้องรอผลแพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง สำหรับเคนมผงที่เคยเป็นคดีก่อนหน้านี้นั้นจะผสมไว้เสร็จแล้ว จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่
ขณะนี้ตำรวจสอบปากคำพยานเพิ่มอีก 3 ปาก รวมสอบปากคำไปแล้ว 11 ปาก ทั้งญาติและผู้ร่วมปาร์ตี้ เหลืออีก 6 ปาก และต้องรอผลการตรวจแพทย์อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม แม่ของพริตตี้วาวาออกมาย้ำว่าลูกไม่เคยยุ่งเกี่ยวยาเสพติด และเรียกร้องให้สาธารณสุขเอาผิดโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บเงิน ถ่วงเวลารักษา จนทำผู้ป่วยเสียชีวิต โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือ สบส. รับเรื่องและจะมีการขยายผลในเรื่องนี้ต่อไป หากพบผิดจริง มีโทษทั้งจำ ปรับ และทางวิชาชีพ.-สำนักข่าวไทย