กทม.9 ธ.ค.-อสส. ชี้แจงเหตุไม่ดำเนินคดี “สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ” คดีให้สินบน เช่าที่สำนักทรัพย์สินฯ เพราะตำรวจยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่เสร็จสิ้น และเสนอแยกฟ้องเป็นอีกคดี
หลังจากที่มีกระแสสังคมตั้งข้อสงสัยถึงสาเหตุที่อัยการสูงสุดไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัทเรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กรณีให้เงินเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 20 ล้านบาท แลกกับการได้สิทธิเช่าที่ดินระยะยาว บริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ย่านชิดลม มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยไม่ผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติ
ทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นำโดยนายอิทธิพร แก้วทิพย์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงชี้แจงว่า คดีนี้กองปราบปรามเป็นเจ้าของสำนวนคดี รับสำนวนคำร้องจากตัวแทนสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นชื่อเดิม ณ ขณะนั้นเมื่อปี 2560 ว่ามีเจ้าหน้าที่และผู้ร่วมกระทำผิดปลอมแปลงและใช้เอกสารทางราชการปลอม ตำรวจจึงสืบสวนจับกุมดำเนินคดี และส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.พิจารณาไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2562
จากนั้น ป.ป.ช. ได้มอบอำนาจให้กองปราบสอบสวนขยายผลต่อ ซึ่งตามท้ายรายงานที่ส่งให้อัยการพิจารณา ระบุว่า กรณีที่พบว่า นายสกุลธร มีการจ่ายเงินให้กับนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช ซึ่งเป็นนายหน้าอิสระ 3 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 20 ล้านบาท เพื่อให้ประสานกับนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายโครงการพิเศษสำนักงานทรัพย์สินฯ ช่วยเหลือเพื่อได้มาซึ่งสิทธิในการเช่าที่ดินระยะยาว นายสกุลธรได้เข้าให้ปากคำในฐานะพยาน จึงไม่น่าเข้าข่ายเป็นผู้เสียหาย ซึ่งจะรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีแยกต่างหาก ทำให้ในสำนวนคดีแรกมีรายชื่อปรากฎผู้ต้องหาเพียง 2 คน เป็นการฟ้องข้อเท็จจริงในคดีนี้ และเนื่องจากตำรวจระบุชัดเจนว่าจะแยกดำเนินคดีเพิ่ม อัยการจึงไม่ได้เห็นแย้งในเรื่องนี้
ส่วนพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายปราบปรามการทุจริต 4 ไม่มีความเห็นและคำสั่งทางคดีในส่วนของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งพนักงานอัยการไม่ได้แนะนำพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี เนื่องจากพนักงานสอบสวนระบุไว้ในสำนวนชัดแจ้งว่า อยู่ระหว่างดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและแยกสำนวนคดีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับนายสกุลธร จนถึงขณะนี้ยังปรากฎข้อเท็จจริงตามคำให้การของนายสุรกิจ ซึ่งเป็นนายหน้า ว่าได้มอบเงินให้ไปดำเนินการ แต่ในชั้นศาลยังไม่มีการพิสูจน์ว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร ต้องรอให้ตำรวจกองปราบปราม สอบสวนสรุปสำนวนส่งฟ้องมาก่อน จึงจะพิจารณาต่อไปได้ว่า เข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นผู้ให้สินบน หรือไม่
อีกทั้งพนักงานสอบสวนมีระบุท้ายสำนวนว่า คดีนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานกับนายสกุลธร อัยการจึงไม่มีอำนาจเข้าไปสอบสวน ล้วงลูกหรือก้าวก่าย ถือเป็นขั้นตอนกระบวนการของเจ้าพนักงาน ส่วนคำพิพากษาของศาลทุจริตฯ จะนำมาอ้างเป็นข้อยุติในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมิได้ และคำพิพากษามาอ้างอิง จากนี้ต้องดูที่สำนวนการสืบสวนต่อไป.-สำนักข่าวไทย