5 ส.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างพระทำผิดกฎหมายจับกุมเป้าหมายได้ 154 เป้าหมายจาก 181 เป้าหมาย พบพระบางรูปไม่ยอมลาสิกขา ยืนยันวันนี้ต้องดำเนินการทั้งหมด ด้านสำนักพุทธฯ ยืนยันจะให้ความร่วมมือกับตำรวจ 100% พร้อมทำข้อตกลง พระทำผิด 3 รูปใน 1 จังหวัด ต้องเด้ง ผอ.สำนักพุทธจังหวัด เพื่อรับผิดชอบ
พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวมี 181 เป้าหมาย โดยมีเป้าหมายเป็นพระ 154 คน พระที่ลาสิกขาไปแล้ว 27 คน จับได้แล้วตอนนี้รวม 154 คน จาก 73 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งผู้ต้องหาส่วนมากรับสารภาพ เนื่องจากเราดำเนินการโดยมีหมายจับ แต่ก็ยังมีบางรายที่ไม่ยอมลาสิกขา ยังอาศัยผ้าเหลืองเป็นที่ค้ำจุนให้ตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มหาเถรสมาคมได้ออกระเบียบและแก้ไขขั้นตอนระยะเวลาในการลาสิกขาแล้ว จาก 3 ปี ลดเหลือ 10 วัน ฉะนั้นในวันนี้เราจะดำเนินการลาสิกขาให้พระที่ทำผิดกฎหมายลาสิกขาทั้งหมด เพื่อจะเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ภารกิจหลังจากวันนี้ก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง และจะมีการประชุมหารือในระดับนโยบาย โดยวันนี้เราจะจัดทำข้อมูลวัดและพระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งสิ่งต่างๆที่อยู่ในวัด ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิต่างๆ ที่แอบแฝงแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยเช่นกัน และจะเห็นได้ว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีวัดใหญ่จังหวัดพิจิตรที่มีปัญหาสะสมมานาน แก้ไขไม่ได้สักที แต่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ได้ลงไปดำเนินแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ประชาชนในพื้นที่ก็ชื่นชม ยืนยันว่าเราจะกวาดล้างพระที่ทำผิดทั้งหมด

นอกจากนี้พวกที่ยังอาศัยผ้าเหลืองหนีออกนอกประเทศ วันนี้เราได้ร่วมกับ ปปง. ไม่ว่าจะหนีไปประเทศไหนกฎหมายการฟอกเงินสามารถตามไปดำเนินการได้หมด ดังนั้นจะหนีไปไหนก็สามารถนำตัวมาดำเนินคดีได้ ส่วนความผิดที่จับกุมพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นกรณีที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดแล้วหลบหนีมาบวชโดยอาศัยผ้าเหลืองเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนจะมีพระชั้นผู้ใหญ่หรือไม่ ยืนยันว่าหากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการทั้งหมด ส่วนมีเหตุผลหรือไม่ที่จะต้องจับกุมวันนี้พร้อมกันทั่วประเทศ พล.ต.อ.ไกรบุญ ตอบว่า ก็ส่วนหนึ่ง เนื่องจากเป็นยุทธวิธีในการทำงานของตำรวจ และป้องกันการหลบหนีของเป้าหมาย
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกว่า เรามีข้อมูลที่สามารถตรวจสอบความเชื่อมโยงต่างๆ ที่ทำให้เห็นว่า มีคนไปแอบแฝงอยู่ในคราบผ้าเหลือง เราก็กวาดล้างคนพวกนี้ สำหรับข้อมูลได้มาจากทั้งของศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เราก็จะนำมาวิเคราะห์จะยังไม่ปักใจเชื่อจะมีวิธีการตรวจสอบอย่างเป็นธรรมและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเป้าหมายที่จับกุมในวันนี้บางส่วนจะนำเข้ามาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แต่บางส่วนก็ส่งให้พื้นที่รับผิดชอบตามหมายจับดำเนินคดี และส่วนใหญ่เป็นหมายค้างเก่าที่มีอยู่แล้ว ซึ่งการรวบรวมข้อมูลนั้นได้มีการรวบรวมมาตั้งแต่ตั้งศูนย์ดังกล่าวแล้วโดยทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และประชาชน และส่วนหนึ่งเรามีข้อมูลอยู่ในระบบของสอบสวนกลางอยู่แล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดรอบนี้ถึงยอมเปิดเผยข้อมูลออกมาดำเนินการ นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตอบว่า หากเป็นข้อมูลที่มีความผิดทางบ้านเมืองก็นำมาให้ตำรวจดำเนินการได้ แต่บางเรื่องเป็นความผิดทางวินัยจะต้องดำเนินการตามวินัย เพื่อนำข้อมูลมารวบรวมให้เป็นเอกภาพ
ส่วนที่ก่อนหน้านี้สำนักพุทธฯ ถูกครหาว่าไม่ให้ความร่วมมือและปกปิดข้อมูลไว้ แสดงว่าครั้งนี้จะเป็นการเริ่มต้นให้ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องหรือไม่ นายบุญเชิด บอกว่า 100% ครับ หลังจากนี้หากตำรวจต้องการข้อมูลอะไรก็จะส่งให้ทั้งหมด ขณะที่ พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวเสริมว่า “วันนี้เดินหน้าไปด้วยกันดีกว่า อย่าไปพูดถึงอดีต นอกจากนี้ได้มีการทำข้อตกลงร่วมกับสำนักพุทธฯ หากพบว่ามีพระสงฆ์ในหนึ่งจังหวัด ทำผิดเกิน 3 รูป จะต้องให้ผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ ในจังหวัดนั้นต้องย้าย ใช้มาตรการเดียวกันกับตำรวจ ส่วนจะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูหรือไม่นั้น ยืนยันว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ทำเพื่อให้ พุทธศาสนิกชนที่เข้าไปกราบไหว้พิจารณาในการถวายเงินและทำบุญต่างๆ.-415-สำนักข่าวไทย