28 ก.ค. – ผบช.ก. แถลงผลปฏิบัติการ “ทลายขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย” ตรวจค้น 10 จุดทั่วประเทศ รวบ 9 ผู้ต้องหา ขบวนการสวมบัตรคนตายให้ต่างชาติ
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงข่าวผลปฏิบัติการของกองบังคับการปราบปรามในปฏิบัติการ “ทลายขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย” ตรวจค้น 10 จุดทั่วประเทศ รวบ 9 ผู้ต้องหา ขบวนการสวมบัตรคนตายให้ต่างชาติ
โดยในคดีนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่สวมบัตรประชาชนจำนวน 2 ราย คือ 1. Mr.Kyar Htaw หรือนายจา ตอ สัญชาติเมียนมา อายุ 25 ปี โดยสวมบัตรประชาชนเป็นบุคคลอื่น จับกุมได้ที่บริเวณบ้านพัก ม.5 ต.บ้านเกาะ อ.เมืองอุตรดิตถ์ จ.อุตรดิตถ์ 2. นายเป่าฉั่น อายุ 25 ปี เป็นชาวเขาที่ไม่มีข้อมูลทางทะเบียน โดยสวมบัตรประชาชนเป็นบุคคลอื่น จับกุมได้ที่บ้านพัก ถ.เทพารักษ์ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
ทั้งสองคนเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ใช้หรือแสดงบัตรอันเกิดจากการกระทำความผิด รวมทั้งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นผู้รับรองข้อมูลตัวตนจำนวน 7 ราย คือ
- น.ส.เทอะซา อายุ 53 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.8 ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
- น.ส.จันทร์จิรา อายุ 25 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.8 ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
- นายพะเบอะ อายุ 51 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.3 ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
- นางสมพร อายุ 46 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.3 ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
- น.ส.เพ็ญพรรณ อายุ 50 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.1 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
- นางกชพร อายุ 51 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ม.7 ต.หลักหก อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี
- น.ส.ณัฐฐนันท์ อายุ 49 ปี จับกุมได้ที่บ้านพัก ซ.นวมินทร์ 57 แยก 7-2 ถ.นวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร
ทั้งเจ็ดคนเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานฯ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ใช้หรือแสดงบัตรอันเกิดจากการกระทำความผิด”
โดยคดีสืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือน เมษายน 2568 ตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้รับเรื่องร้องเรียนแจ้งว่า พบการโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพตัวอย่างบัตรประชาชนในแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียของประเทศจีน (เสี่ยวหงษ์ชู – XHS) ว่า รับบริการจัดทำบัตรประชาชนไทยได้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป. จึงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนสามารถระบุข้อมูลตัวตนและภาพใบหน้าบนตัวอย่างบัตรประชาชนที่ถูกโพสต์โฆษณาข้างต้นว่าคือ “นายสมบูรณ์ วรรณสารคีรี”
เมื่อสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ได้มีขบวนการสวมบัตรเถื่อน นำพา Mr.Kyar Htaw หรือนายจา ตอ สัญชาติเมียนมา มาทำบัตรประชาชน ณ เทศบาลแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยใช้พยานหลักฐานเอกสารเท็จประกอบการทำบัตร นอกจากนี้ยังมีการพากลุ่มบุคคลมาแสดงตัวเป็นเครือญาติและบุคคลใกล้ชิด เพื่อให้การรับรองอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนของเทศบาลว่า Mr.Kyar Htaw หรือนายจา ตอ คือ “นายสมบูรณ์ วรรณสารคีรี” จนท้ายที่สุด ขบวนการดังกล่าวจึงได้บัตรประชาชนที่ระบุชื่อ “นายสมบูรณ์ วรรณสารคีรี”
ซึ่งในระหว่างทำการสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังพบว่าขบวนการดังกล่าวได้พานายเป่าฉั่น บุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน มาสวมบัตรประชาชนเป็น “นายวีรพล จะลอ” โดยมีขั้นตอนลักษณะพฤติการณ์คล้ายกับกรณีข้างต้นอีกด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งตัวการหรือผู้สวมบัตร จำนวน 2 รายและผู้ร่วมขบวนการสวมบัตรประชาชน จำนวน 10 ราย รวม 12 ราย พร้อมขออนุมัติศาลอาญาออกหมายค้นเพื่อทำการตรวจค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 จุด แบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 จุด จังหวัดปทุมธานี 2 จุด จังหวัดอุตรดิตถ์ 1 จุด จังหวัดแม่ฮ่องสอน 1 จุด จังหวัดตาก 1 จุด จังหวัดสมุทรปราการ 2 จุด และจังหวัดภูเก็ต 1 จุด
จากนั้นในวันที่ 23 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้นำกำลังเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนทั้งสิ้น 9 รายตามรายนามข้างต้น ยังเหลือระหว่างติดตามจับกุม 3 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มาให้การรับรอง พร้อมตรวจค้นสถานที่ตามหมายค้น โดยสามารถตรวจยึดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องหลายรายการ จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาบางส่วนให้การรับสารภาพ บางส่วนให้การปฏิเสธ
ด้าน พ.ต.ต.อดิศร อินทิยศ สารวัตร กก.2 บก.ป. อธิบายแผนประทุษกรรมของขบวนการสวมบัตรประชาชนว่า เมื่อกลุ่มขบวนการได้โพสต์โฆษณาชักชวนให้ทำบัตรประชาชนคนไทยผ่านโซเชียลมีเดียของจีน มีเป้าหมายเป็นลูกค้าชาวต่างชาติเช่นชาวเมียนมา ชาวเขา หรือชาวจีน
จากนั้นกลุ่มขบวนการจะไปหาครอบครัวชาวไทยที่เคยมีบุตรหรือแจ้งเกิดบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการแจ้งตาย ก่อนจะดำเนินการติดต่อว่าจ้างเพื่อนำชื่อและข้อมูลของคนตายไปสวมบัตรสมอ้างกับลูกค้า เมื่อติดต่อตกลงสำเร็จ ก็จะดำเนินการย้ายที่อยู่ของครอบครัวและผู้ตายไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่ทางกลุ่มขบวนการได้ตระเตรียมเอาไว้สำหรับเป็นท้องที่ทำบัตรประชาชน
เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะดำเนินการพาลูกค้าไปสวมทำบัตรประชาชนในท้องที่นั้น โดยนำครอบครัวของผู้ตายมาสมอ้างและทำทีเป็นรับรองยืนยันว่าลูกค้าเป็นญาติจริง ๆ พร้อมกับนำเอกสารหลักฐานเท็จจากครอบครัวคนตายมายื่นกับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อนำไปสู่การทำบัตรประชาชนที่ข้อมูลทุกอย่างเป็นของคนตาย แต่ใบหน้าบัตรประชาชนจะเป็นของลูกค้าที่มาสวมบัตร เมื่อได้บัตรประชาชนเป็นที่เรียบร้อย ลูกค้าและครอบครัวผู้ตายที่นำมาสมอ้างถึงค่อยย้ายที่อยู่ออกจากบ้านที่ขบวนการให้มาอยู่แต่แรก โดยเป้าหมายของลูกค้าที่สวมบัตรประชาชนคนไทย เพื่อจะได้นำบัตรไปสมอ้างและใช้สิทธิ์ต่าง ๆ ของคนไทยได้ โดยขบวนการดังกล่าวจะได้ค่าจ้างครั้งละ 300,000 ถึง 1 ล้านบาท ก่อนจะนำมาแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่งกลุ่มครอบครัวที่นำชื่อคนตายมาสมออ้างและกลุ่มคนที่มาให้การรับรองจะได้ค่าจ้างคราวละ 80,000 ถึง 100,000 บาท
ขณะที่ พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวเสริมว่า ในคดีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการสืบสวนขยายผลต่อไปว่า มีผู้ร่วมขบวนการรายอื่นอีกหรือไม่ โดยเฉพาะคนจีนที่ให้การสนับสนุนด้านการเงินและทำการตลาดให้ รวมทั้งจากไล่ตรวจสอบไปถึงตัวการใหญ่สุดซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นคนไทย นอกจากนี้ก็จะขยายผลไปยังเจ้าหน้าที่รัฐ หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีทั้งหมด โดยเชื่อว่ายังมีลักษณะขบวนการสวมบัตรประชาชนขบวนการอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งก็จะดำเนินการไล่ตรวจสอบและขยายผลจับกุมดำเนินคดีเช่นเดียวกัน เพราะคาดว่าอาจจะมีขบวนการสวมบัตรประชาชนเพื่อนำไปประกอบธุรกิจสีเทาด้วย
ทั้งนี้ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากพบบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายหรือมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการสวมบัตรประชาชนไทยสามารถแจ้งเข้ามาได้ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือสถานีตำรวจใกล้เคียง เพื่อทำการตรวจสอบและขยายผลจับกุมต่อไป รวมทั้งทางตำรวจสอบสวนกลางพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาให้กับทางกระทรวงมหาดไทยในเรื่องของการวางแนวทางป้องกันขบวนการสวมบัตรประชาชนต่อไป.-414-สำนักข่าวไทย