กรุงเทพฯ 23 ก.ค. – พ่อแม่ “น้องเมย” พร้อมเข้าพบ ผบ.ตร. อยากขอความเมตตาพิจารณาว่าคู่กรณีสมควรเป็นตำรวจต่อหรือไม่
นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา พ่อแม่ของ “น้องเมย” ให้สัมภาษณ์บอกว่า หลังจากนี้จะดำเนินการอย่างไรต่อต้องขอปรึกษาทนายความก่อน ที่ผ่านมาจนถึงชั้นศาลฎีกา ครอบครัวก็เหนื่อยมากแล้ว ตอนนี้ขอให้ทนายความดำเนินการ ส่วนเรื่องทางคดีคงไม่พูดต่อ เพราะไม่อยากก้าวล่วงศาล ยอมรับว่าความรู้สึกในใจรู้สึกขัดแย้งในฐานะครอบครัวที่ต้องสูญเสียลูกชาย แต่เห็นผู้กระทำเติบโตในหน้าที่ข้าราชการตำรวจ
อยากฝากถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าคู่กรณียังสมควรที่จะเป็นตำรวจอยู่หรือไม่ ซึ่งที่ ผบ.ตร. บอกว่าขณะเกิดเหตุคู่กรณีไม่ได้อยู่สถานะตำรวจ จะดำเนินการทางวินัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจปี 2565 ไม่ได้นั้น มองว่าไม่น่าใช่ เพราะตอนนั้นเขาเลือกเหล่ามาแล้วว่าเป็นเหล่าตำรวจ อย่างลูกตนก็เลือกเหล่านายร้อย จปร. มันชัดเจนอยู่แล้ว แต่เข้าใจว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มาทีหลังก็ไม่ได้กล่าวโทษท่าน แต่อยากฝากขอความเมตตากับท่าน โดยครอบครัวติดใจเรื่องการเลื่อนยศของคู่กรณี เพราะยศขึ้นเร็วมาก จาก ร.ต.ต. เป็น ร.ต.ท. อยากรู้ว่าคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทราบหรือไม่
ส่วนที่ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ บอกว่าอยากจะพบเพื่อพูดคุยกับครอบครัวเป็นการส่วนตัว ตนมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะตนเองก็อยากจะหาเวลาไปพูดคุยกับท่านอยู่แล้ว เพื่อไปขอความเมตตา ไปถามท่านว่าเมื่อมีเรื่องลักษณะนี้ คู่กรณียังสมควรที่จะเป็นตำรวจอยู่ หรือสมควรที่จะถอดเครื่องแบบ แต่สุดท้ายก็ต้องให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยหลังจากนี้จะให้ทนายความประสานติดต่อเข้าไปขอพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ยังตอบไม่ได้ว่าเมื่อไร ขอพูดคุยกันก่อนว่าจะสอบถามในเรื่องอะไรบ้าง และดูเรื่องกฎระเบียบของโรงเรียนนายร้อยสามพรานก่อน หากท้ายที่สุดเรื่องทางวินัย ไม่สามารถดำเนินการได้จริง ครอบครัวก็ยังคงรู้สึกติดใจในฐานะผู้สูญเสีย
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ครอบครัวแจ้งความเอาผิดแพทย์ผู้ชันสูตรคนแรก ที่ทำให้อวัยวะน้องเมยหายไปไว้ที่ สน.พญาไท นั้นได้มีการติดตามเรื่องนี้อย่างไรบ้าง คุณพ่อบอกว่า ล่าสุดทราบจากทนายความว่า ได้มีการเรียกแพทย์ที่ผ่าชันสูตรมาสอบปากคำแล้ว แต่เขามาหรือยังก็ไม่ทราบ ซึ่งอยากให้คิดดูว่าหากบริสุทธิ์จริง ทำไมผ่าเสร็จแล้วไม่นำอวัยวะกลับเข้าไปในร่างคืนให้ครอบครัว
ด้านคุณแม่ของน้องเมย บอกว่า ขอขอบคุณประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เห็นอกเห็นใจ เพราะการสู้หรือเดินมามันไม่ง่าย มันลำบาก กว่าจะขอเอกสาร กว่าจะขอความร่วมมือ มันทำให้หัวใจมันเหนื่อยล้า เหลวแหลกหมด เหนื่อยใจมากกว่าเหนื่อยกาย
ในกรณีที่มีการโพสต์โจมตี มีมาตั้งแต่น้องเมยเสียชีวิตใหม่ๆ พอวันนี้เป็นข่าวมันก็กลับมาอีก แต่ตนไม่เคยโพสต์โจมตีโรงเรียนเตรียมทหารเลย ไม่เคยไม่ให้เกียรติหรือให้ร้าย ทุกวันนี้ที่ตนเดินหน้า เพราะต้องการความยุติธรรมให้ลูก แต่ก็ทำให้คนในโรงเรียน รวมถึงพ่อแม่ ผู้ปกครองของคนที่อยู่ในโรงเรียนนี้ เช่นนักเรียนที่เรียนรุ่นเดียวกันในตอนนั้น มองว่าลูกเราทำให้เสื่อมเสีย
คุณแม่กล่าวทั้งน้ำตาว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ตนได้แก้ข้อกล่าวหาที่บอกว่าน้องเมยโกหก ผิดระบบเกียรติศักดิ์ไปแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว เอกสารก็เปิดหมดแล้วว่าน้องเมยไม่ได้โกหก แต่ที่ยังค้างอยู่ในใจ คือข้อกล่าวหาที่บอกว่า น้องเมยสุขภาพไม่ดี ป่วยตายเอง ตนกำลังแก้ข้อกล่าวหานี้ แม้จะเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย สังขารไม่ไหว ตนก็จะทำเพื่อลูก แก้ข้อกล่าวหาและมลทินสุดท้ายให้ได้
“ถ้าเมยสุขภาพไม่ดี ป่วยตายเองจริงๆ เขาคงไม่เรียนอยู่จนถึง 5 เดือน เพราะการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารไม่ได้เบา มันหนัก ถ้าเขาจะป่วยตาย คงต้องตายก่อนหน้านั้น ไม่ใช่มาตายตอนฝึกแล้ว ตอนรับแหวนแล้ว แม่ยืนยันจะแก้ข้อนี้ให้ได้ ถ้าแก้ข้อนี้จบ แม่อยากหนีเข้าป่า แม่อยากหนีไปนานแล้ว เพราะสภาพจิตใจไม่ไหว ต้องตื่นมาเจออะไรเดิมๆ เจอรูปลูก เจอกรอบรูป มันทนไม่ไหว แล้วยิ่งรู้สาเหตุการตายของลูกยิ่งไม่ไหว แต่ความอาฆาตแม่ตัดได้แล้ว แม่พยายามศึกษาจากน้องเมย เรียนรู้เรื่องการให้อภัย การให้โอกาสคน แม่ได้เรียนรู้จากลูกแล้ว แม่มีหน้าที่ทำหน้าที่แก้ข้อกล่าวหาให้ลูกให้พ้นมลทิน แม่ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้กับแม่เสมอมา”.- 415-สำนักข่าวไทย