รมว.ยธ. มอบ เลขาฯ ป.ป.ส.บินไปเมียนมาขยายผลยึดทรัพย์พ่อค้ายารายใหญ่

ก.ยุติธรรม 18 มิ.ย. – รมว.ยุติธรรม มอบหมาย เลขาฯ ป.ป.ส. บินด่วนเมียนมา ขยายผลยึดทรัพย์พ่อค้ารายใหญ่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท


พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงผลปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 4 ดำเนินการต่อทรัพย์สินของผู้ต้องหาตามหมายจับและเครือญาติ รวม 8 คน ในพื้นที่ จ.เชียงราย (3 จุด) ผลการปฏิบัติ ไม่พบบุคคลตามหมายจับ ตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน อาทิ บ้านพร้อมที่ดินจำนวน 2 หลัง ที่ดินเปล่า 2 แปลง รถยนต์ 1 คัน นาฬิกาหรู 1 เรือน รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 15.1 ล้านบาท

นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. เตรียมออกหนังสือเชิญบุคคลที่มีเส้นทางการเงินต้องสงสัย จำนวน 12 คน เข้ามาชี้แจงให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการเงินต้องสงสัย (หากไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินจำนวนดังกล่าวได้ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย) ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นประมาณการทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายการเงินต้องสงสัย รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 97 ล้านบาท


พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ที่มาของปฏิบัติการดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ส. จับกุมผู้ต้องหา 8 คน ของกลางยาบ้ากว่า 3 ล้านเม็ด ในพื้นที่ กทม. โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นของ นายธัชพล หรือ อาฉ่าง หรือ เสี่ยม้าบิน เป็นผู้สั่งการให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติด จาก จ.ท่าขี้เหล็ก สหภาพเมียนมา เข้ามาในพื้นที่ชายแดนประเทศไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย และส่งต่อให้กับเครือข่ายลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม ซึ่งคณะทำงานงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติหน้าที่ ภายใต้ขอบเขตแห่งบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ระหว่าง 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงานอัยการสูงสุดกองบัญชาการกองทัพไทย (ศูนย์รักษาความปลอดภัย) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด) ได้ร่วมกันบูรณาความร่วมมือกันกระทั่งรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับ นายธัชพล ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 335/2568 ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ความผิดฐาน “ร่วมกันนำเข้ามาในราชอาณาจักร, ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า), สมคบฯ”

นายธัชพล มีบทบาทเป็นผู้จัดหายาเสพติด (ยาบ้า, ไอซ์) โดยมีศักยภาพเข้าถึงกลุ่มผู้ผลิตในเมียนมา รวมทั้งจัดหาทีมลำเลียงยาเสพติดจากเมียนมาลักลอบนำเข้าพื้นที่ชายแดนประเทศไทยด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย และส่งต่อให้กับเครือข่ายลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนในของไทยเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ หรือส่งต่อไปยังประเทศที่สาม นอกจากนี้ นายธัชพล ยังเป็นผู้มีอิทธิพลในฝั่งเมียนมา คอยอำนวยความสะดวกจัดหาที่พักอาศัยและการดูแลความปลอดภัย ให้กับเครือข่ายยาเสพติดและกลุ่มคนไทยที่หลบหนีหมายจับคดียาเสพติด ปัจจุบัน นายธัชพล พักอาศัยอยู่ที่เมียนมา มีกิจการใน จ.ท่าขี้เหล็ก และ จ.เชียงตุง ได้แก่ กิจการร้านทอง กิจการรับเหมาก่อสร้าง กิจการอินเทอร์เน็ต กิจการสถานบันเทิง กิจการโรงแรม กิจการขนส่ง กิจการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1,000 ล้านบาท

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทย – เมียนมา ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามยาเสพติด เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การบูรณาการทางการข่าวระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ และ หน่วยงานระหว่างประเทศ จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมาก การประสานงาน และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันอย่างใกล้ชิด จะนำมาซึ่งผลสัมฤทธิ์ในการสืบสวนขยายผลเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับเครือข่ายที่ปฏิบัติการในวันนี้ ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ บุคคลเป้าหมายหลักที่ถูกออกหมายจับ มีพฤติการณ์ในระดับผู้สั่งการ มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดไปประจายในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งนำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด มาแปลงเป็นทรัพย์สิน และลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ในไทยและเมียนมา (มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท)


พ.ต.อ.ทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ผมได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ พร้อมคณะ เดินทางไปเมียนมาเพื่อพบกับ พลตำรวจโท วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจเมียนมาและเลขาธิการ CCDAC และ พลตำรวจจัตวา ต่าน ลวิน หม่อง เลขาธิการร่วมสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือเกี่ยวกับเครือข่ายดังกล่าว โดยจะขอความร่วมมือให้ทางเมียนมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินในเมียนมา ต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคี ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามยาเสพติด ในทุกระดับการค้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้จับกุมกวาดล้างยาเสพติด ตัดวงจรการค้า ยาเสพติดรายสำคัญให้ถึงระดับผู้สั่งการ โดยเฉพาะผู้สั่งการที่มีศักยภาพในการจัดหายาเสพติดจากต้นทางประเทศเพื่อนบ้าน และใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทย ตลอดจนใช้บุคคลชาวไทยถือครองทรัพย์สินแทน ยิ่งต้องเร่งดำเนินการตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด และตั้งแต่กลางปี 2567 – ปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี เปิดปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม รวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง ครั้งที่ 1 จับกุมบุคคลตามหมายจับ 4 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 66 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จับกุมบุคคลตามหมายจับ 3 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 101 ล้านบาท ครั้งที่ 3 จับกุมบุคคลตามหมายจับ 1 คน ตรวจยึดทรัพย์สิน 80 ล้านบาท และ ครั้งนี้ ครั้งที่ 4 ยึดอายึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 15.1 ล้านบาท และตรวจสอบทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกรรมการเงินต้องสงสัยมูลค่ากว่า 97 ล้านบาท. -119-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด

29 ก.ค.- โฆษกทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด ยังนัดหมายพบปะกันไม่ได้ แต่พยายามอยู่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายไทย พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค1 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และฝ่ายกัมพูชา พล.อ.โปว เฮง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พล.อ.แอก ซอมโอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 ทั้ง 2 ฝ่ายยังนัดหมายพบปะไม่ได้ เลื่อนไป ยังไม่มีระบุเวลา (เดิมเวลา 10.00 น.) แต่ยังพยายามอยู่ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร​” ไม่แปลกใจ กัมพูชาไม่เป็นสุภาพบุรุษ

ทำเนียบ 29 ก.ค.- “แพทองธาร​” ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษของ “กัมพูชา” หลังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ชี้ต้องฟ้อง ปท. ที่เข้ามาเป็นพยานด้วย บอก​ จะถาม “ภูมิธรรม” ให้ ต้องออกแถลงการณ์โต้หรือไม่​ นางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม​ กล่าวถึงกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลง​หยุดยิง ว่า​ เมื่อสักครู่​ ได้อัปเดตกับทางทีมงาน​ มีการพูดคุยกันว่า​ ถ้าเป็นแบบนี้​ ก็ต้องมีการแจ้งให้ประเทศที่เข้ามาเป็นพยานได้ทราบด้วย​ ว่า​ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น​ แต่ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว​ เมื่อถามว่ารัฐบาลจะต้องมีการออกแถลงการณ์อีกครั้งหรือไม่​ หลังจากกัมพูชาไม่หยุดยิง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวอันนั้นจะสอบถามนายภูมิธรรม​ เวช​ย​ชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​.-315 -สำนักข่าวไทย

กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล

29 ก.ค.- กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและประชาชน หลังกัมพูชาจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อมั่นในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดทางสู่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุกองทัพไทย ได้รับการยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หยุดยิงทุกพื้นที่ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา โดยยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันให้ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหลังจากกำหนดหยุดยิง ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่ จงใจละเมิดข้อตกลง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่น ที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพไทย ขอประณามพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับ ภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมิได้ใช้กำลังเพื่อรุกราน แต่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน “เมื่อเราหยุด แต่เขาไม่หยุด…โลกต้องได้รับรู้ว่า กัมพูชาคือผู้ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพกติกาสากล ไม่ยึดถือข้อตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาคและของโลก” การยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเปิดช่องให้ความอยุติธรรมกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบระหว่างประเทศ […]

ทบ. ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

29 ก.ค.- ทบ. ประณาม “กัมพูชา”ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่ไทยยึดมั่นพันธกรณีฯ อย่างเคร่งครัด แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเองตอบโต้อย่างเหมาะสม ขยับเวลาถกผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่เป็น 10 โมงเช้า วันที่ 29 กค.68 เวลา 7.30 น. พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาว่าตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตราการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล พลตรีวินธัย ยังระบุว่า เบื้องต้น การพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ มีการขยับเวลา […]