กทม. 25 เม.ย.-ดีเอสไอ เผยใช้ AI จับพิรุธฮั้วเลือก สว.ระดับประเทศ ใช้หลักสถิติ เปิดกล้องจับผิดกระบวนการ ลั่น! สอบความผิดปกติทั้งหมด ยืนยันทำงานตรงไปตรงมา
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ฟอรั่มฮอลล์ อิมแพคเมืองทองธานี ติดตามการจำลองเหตุการณ์การเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อ 26 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาว่า เป็นไปตามที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และพยานที่เป็นผู้สมัครที่เป็นผู้ร้องเรียนพาชี้จุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นห้องที่เป็นการเลือกระดับประเทศ และมีการกล่าวหามีการพบโพย มีการรวมตัว และภาพพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด โดยจะสามารถนำมาวิเคราะห์ รวมถึงจำลองสถานการณ์ เพื่อเวลาเรียกพยานมาชี้แจงจะได้ทราบ และสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับพยานหลักฐานบุคคล และวัตถุ รวมถึงผลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญ ที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงคะแนนซ้ำ ๆ กันได้
ส่วนการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์นั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังไม่ขอลงรายละเอียดในเชิงเทคนิค แต่ชี้แจงว่า จะใช้เทคนิค AI มาวิเคราะห์ ซึ่งหากได้ภาพทุกคนที่เข้ามาในพื้นที่ ทั้งผู้สมัครและผู้เข้าร่วมว่า ใครอยู่จุดใด และมีพฤติกรรมอย่างไร ก็จะสามารถจับ และวิเคราะห์ได้ทั้งหมด เพื่อพิจารณาว่า เป็นไปตามพยานอื่นๆ หรือไม่ โดยการใช้ AI จะมีความเป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นหลักฐานที่มีความหนักแน่น
อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังยืนยันว่า การลงพื้นที่เพื่อจำลองเหตุการณ์ในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ เพื่อให้ทราบว่าจุดเกิดเหตุใดอยู่ในจุดไหนบ้าง รวมถึงยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดมาประกอบ หรือมีการพบโพยในห้องน้ำจุดใด โดยหลังจากนี้ก็จะมีการกลับไปเปรียบเทียบ พยานหลักฐานทั้งหมดว่า เพียงพอแล้วที่จะทำให้ข้อเท็จจริงกระจ่างหรือไม่ ซึ่งโพยที่พบก็ถือเป็นหลักฐานชนิดหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนจะนำไปพิจารณา แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดเช่นเดียวกัน
พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังชี้แจงถึงขั้นตอนการดำเนินคดีอาญาว่า จะต้องรอพิสูจน์ให้ชัดเจนว่ามีคนใดบ้างที่กระทำความผิด ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์พยานหลักฐานให้มีความชัดเจนก่อนมีการแจ้งข้อกล่าวหา ส่วนที่ไปร่วมมือกับกกตในการตรวจสอบนั้น ก็จะแยกเป็นความผิดที่เกิดขึ้นกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. เพื่อพิสูจน์การเลือก สว.ไม่เป็นธรรม โดยที่พอดีทั้ง 2 ส่วนไม่จำเป็นจะต้องเสร็จสิ้นพร้อมกัน ตามที่ กกต.ได้ตั้งเป้าหมายการสอบสวนคดีการเลือก สว.ไม่เป็นธรรมไว้ว่า จะให้แล้วเสร็จในเดือนหน้า
ส่วนภาพนิ่งที่มีการถ่าย และส่งต่อกันจะเป็นประโยชน์หรือไม่นั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า อยู่ในระหว่างการวิเคราะห์ว่า สอดคล้องกับบัตรลงคะแนน ที่เป็นไปตามโพยที่พบหรือไม่ และจะมีการใช้สูตรคำนวณ เพราะหากการลงคะแนนเป็นไปตามโพย มีการลงคะแนนซ้ำ ๆ ในหลาย ๆ บัตร ก็อาจจะต้องมีการวิเคราะห์ว่า มีการกระทำจัดตั้งเป็นกลุ่มบุคคล เพื่อทำให้การเลือกไม่เป็นโดยสุจริตหรือไม่ ซึ่งเป็นไปตามหลักสถิติ และหากได้ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ และไปสอดคล้องกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ก็จะทำให้พยานหลักฐานมีน้ำหนักมากขึ้น แต่หากไม่ตรงก็จะเป็นการหักล้างกัน จึงยืนยันได้ว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยความตรงไปตรงมาด้วยการนำหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย
ทั้งนี้ องค์ประกอบอื่นๆ เช่น การเดินทางมาพร้อมกัน พักด้วยกัน หรือการใส่ชุดเหมือนกัน จะมีการนำมาพิจารณาด้วยหรือไม่นั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่า จะมีการนำมาพิจารณาด้วยทั้งหมด ซึ่งหากมีหลักฐานใดๆ ก็สามารถนำมาพิจารณาได้ทั้งหมด
พ.ต.ต.ยุทธนา ระบุว่า ภาพกล้องวงจรปิดจะโชว์ใบลงคะแนนทีละใบแทบจะ 100% ที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ส่วนการที่ดรมการปกครองออกหนังสือ ในชั้นนี้ยังไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน
ด้านนายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์ ได้เดินทางมาสอบถามเรื่องภาพกล้องวงจรปิด และหีบการลงคะแนน ซึ่งได้สอบถามว่าจะมีการเปิดหีบหรือไม่ และกล่าวว่ากรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือไป ภายใต้สังกัดว่าไม่ให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ซึ่งเป็นการสกัดไม่ให้ข้อมูลกับดีเอสไอ
นอกจากนี้ ทนายอั๋นบุรีรัมย์ นำรูป พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว. เป็นรูปจี้ห้อยสร้อยคอ พร้อมบอกว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ไม่สมควรได้รางวัลจากหน่วยงานองค์กรดีเด่น ซึ่งเหมาะกับรางวัลจี้พญ.เกศกมล เพราะตนหมดเงินกับการร้องเรียนไปจำนวนมาก อยากมอบรูปภาพนี้ให้นายแสวง บุญมี และ กกต.
ขณะที่ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ สว. สำรอง ได้โชว์เอกสารที่ระบุเป็นโพยฮั้วเลือก สว. ที่ตกอยู่ในห้องน้ำ โดยกล่าวว่า ผู้สมัคร สว. ระดับประเทศที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดน่าจะขยำทิ้งไว้ในห้องน้ำแต่ไม่ลงถัง คนที่เข้าห้องน้ำต่อจึงเก็บได้ แล้วถ่ายรูปส่งมาในไลน์ เมื่อแกะดูพบว่าคะแนนตรงกันกับ สว. ที่ได้รับเลือกทุกกลุ่ม นอกจากนี้ยังมีโพยที่ 2-3 ตามมา รวมเป็นสิบกว่าโพย แต่ละโพยจะมีหัวรายชื่อ ประมาณ 7 คน รวมเป็นจำนวน 140 คน เกาะกลุ่มกันทั้งหมด ซึ่งข้อเท็จจริง ใน 140 รายชื่อ เป็น สว.ตัวจริง 138 รายชื่อ ซึ่งในวันนี้ดีเอสไอพยายามนำ CCTV มานำเสนอ แต่ยังไม่ครอบคลุม จึงมีการประสานงานกันต่อว่าจะขอร้องให้ กกต. เปิดหีบ เพื่อดูบัตรที่อยู่ในกล่อง โดยเฉพาะในรอบสุดท้ายที่มีการเลือกไขว้จะรู้ว่าที่มาของ สว. ที่ได้ 70-80 คะแนน มีที่มาอย่างไร โดยเรากำลังประกาศกับดีเอสไอว่าหากหีบเปิดไดยิ่งดี แต่ถ้าเปิดไม่ได้อาจดูจากกล้อง CCTV เพราะมีบันทึกไว้อยู่แล้ว เราจะเห็นว่าเป็นหลักฐานจะได้รู้ว่าไม่มโน
ส่วนที่มีเสียงสะท้อนว่า สว. สำรองก็ฮั้วเหมือนกันแต่ไม่ชนะ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.ต.ท. คำรบ กล่าวทันทีว่าไม่เป็นไร ใครมีพยานหลักฐานก็ขอให้เอามาเปิดเผยได้ เพราะเรื่องนี้มันกล่าวหากันได้หมด สว. สำรองบางส่วนก็มีปัญหา โดนดีเอสไอตรวจสอบด้วยเหมือนกัน ไม่ต่ำกว่า 2-3 คน ทั้งที่ฮั้วและไม่ฮั้ว แต่ได้คะแนนมาโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม
ทั้งนี้ กรอบเวลา 1 ปี ที่ กกต. ต้องตรวจสอบคุณสมบัติ สว. ตัวจริงตอนนี้ใกล้ครบเวลาแล้ว กังวลหรือไม่ว่า กกต. จะทำงานไม่ทน พล.ต.ท. คำรบ กล่าวว่า การตรวจสอบดังกล่าวเป็นระเบียบภายในที่ต้องส่งให้บอร์ด กกต. ภายใน 1 ปี ซึ่งข้อเท็จจริงยังไม่พบว่าตามกฎหมายเกิน 1 ปีได้หรือไม่ ที่ผ่านมาประชาชนยังไม่ได้ฟังจาก กกต. ชัดเจนว่า 1 ปีสามารถขยายได้หรือไม่ ซึ่งตนคิดว่า 1 ปีควรจะจบได้แล้ว.-414.-สำนักข่าวไทย