24 เม.ย.- ผบก.ปอศ. แถลงผลปฏิบัติการ “Operation Crypto Phantom” กวาดล้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมาย เงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท
อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) -24 เมษายน 2568 พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. พร้อมด้วยพ.ต.อ.ธีรภาส ยั่งยืน ผกก.3 บก.ปอศ. พ.ต.ท.ณธัชพงศ์ สินสิริยานนท์ รองผกก.3 บก.ปอศ. และตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศษฐกิจ ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “Crypto Phantom เปิดหน้ากากร้านแลกเหรียญเถื่อน” ต้นตออาชญากรรมอุ้ม, ปล้น,เรียกค่าไถ่ และฟอกเงิน พบเงินหมุนเวียนกว่า 14,000 ล้านบาท
ตำรวจได้เข้าตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จ.ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร ดังต่อไปนี้
1.อาคารพาณิชย์ ในพื้นที่หมู่ 10 ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต ตามหมายค้นของศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 98/2568 ลง 18 เม.ย.68
2.บริษัทรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งหนึ่งในพื้นที่ ถ.ป่าสัก-โคกโตนด ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ตามหมายค้นของศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 99/2568 ลง 18 เม.ย.68
3.บริษัท รับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล แห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 5 เชิงทะเล ถลาง ภูเก็ต ตามหมายค้นของศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 100/2568 ลง 18 เม.ย.68
4.อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ถนนผังเมืองสาย ก. ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ตามหมายค้นของศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ 101/2568 ลง 18 เม.ย.68
5.บริษัทรับแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ที่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตามหมายค้นของศาลจังหวัดพัทยา ที่ 66/2568 ลง 18 เม.ย.68
6.บ้านในพื้นที่ ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตามหมายค้นศาลอาญาที่ 334/2568 ลง 18 เม.ย.68
7.บ้านในพื้นที่ ถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตามหมายค้นศาลอาญาที่ 335/2568 ลง 18 เม.ย.68
8.บ้านในพื้นที่ ซอยพระราม 2 ซอย 62 แยก 1-1-2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ตามหมายค้นศาลอาญาธนบุรี ที่ 133/2568 ลง 18 เม.ย.68
สำหรับปฏิบัติการการตรวจค้นทั้ง 8 ร้าน สามารถตรวจยึดพยานหลักฐานสำคัญ หนึ่งในพยานหลักฐานที่น่าสนใจคือ วัตถุวงกลมที่ทำเป็นรูปเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี่จำนวนมาก ซึ่งตรวจยึดได้จากตู้เซฟในร้านแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต โดยอยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นเหรียญทองหรือทำจากวัสดุอะไร
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ กล่าวว่า ในปัจจุบันอาชญากรรมรูปแบบใหม่กำลังทวีความรุนแรงและ มีลักษณะซับซ้อนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ และขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนแผนประทุษกรรมให้ทันสมัยขึ้น ตามพัฒนาการของเทคโนโลยี หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่อาชญากรใช้ในการอำพรางเส้นทางการเงิน คือ “คริปโตเคอร์เรนซี” ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในการฟอกเงิน โดยกระบวนการฟอกเงินในปัจจุบัน มีหลายวิธี ซึ่งหนึ่ง ในวิธีการที่คนร้ายมักใช้ คือการทำธุรกรรมผ่านร้านแลกเปลี่ยนคริปโตที่ไม่ได้รับอนุญาตในไทย หลังจากนั้นสินทรัพย์ต่างๆ จะถูกถอนออกมาเป็นเงินสด คนร้ายนิยมฟอกเงินที่ได้ผ่านระบบคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะการรับแลกเงินตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งภูเก็ต สมุย พัทยา รวมกระทั่งกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาทางภาครัฐโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ได้มีผลบังคับใช้แล้ว ในการควบคุมผู้ประกอบกิจการ ทั้ง บริษัทผู้ประกอบการ ดีลเลอร์ ฯลฯ การออกพ.ร.ก.นี้ทำให้สามารถต้นทราบต้นทางและปลายทางของผู้ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนเงินตราจากก.ล.ต.มีเพียง 33 บริษัทเท่านั้น โดยทั้ง 8 ร้านที่เข้าตรวจสอบแม้จะมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ทว่าการประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลได้นั้นจะต้องได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต.เท่านั้น แต่ทั้ง 8 ร้านไม่พบใบอนุญาตดังกล่าวแต่อย่างใด
การสืบสวนของกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พบว่า ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดชลบุรี และจังหวัดภูเก็ต มีร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราแอบแฝงการให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท USD Tether (USDT) แบบ “ชนมือ” ซึ่งก็คือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้ผ่านศูนย์แลกเปลี่ยนที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย โดยการให้บริการลักษณะดังกล่าว มีเป้าหมายชัดเจนในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงหลบเลี่ยงภาษี และมีการนำเงินที่ได้ไปหมุนเวียนในธุรกิจผิดกฎหมายหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเครือข่าย ค้ายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
จากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่า ธุรกรรมมากกว่า 1,000 รายการ เชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรม และมีเงินหมุนเวียนรวมสูงถึง 425,104,595 USDT หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท โดยเป้าหมายลูกค้ารับแลกสินทรัพย์ดิจิตอล คือบรรดาชาวต่างชาติทั้งชาวรัสเซียหรือชาวจีนรวมทั้งชาวต่างชาติอื่นๆ ที่นำเงินมาแลกเปลี่ยนผ่านร้าน
พ.ต.อ.ธีรภาส กล่าวว่า ผลการตรวจค้น 8 จุดเป้าหมาย พบผู้กระทำผิดที่ให้บริการแลกเปลี่ยนผิดกฎหมายและอยู่ระหว่างการดำเนินคดี 5 ราย ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยได้มีการออกหมายเรียกสอบผู้เกี่ยวข้องจำนวน 12 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ อาทิ คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, สมุดบัญชีธนาคาร, Hardware Wallet และเอกสารธุรกรรมจำนวนมาก พฤติกรรมของเครือข่ายนี้มีลักษณะเป็นการเปิด “โต๊ะแลกคริปโต” ให้ลูกค้าชาวต่างชาติใช้เงินบาทแลกเหรียญดิจิทัล หรือแลก USDT กลับเป็นเงินบาท แบบไม่ผ่านระบบ Exchange ที่ได้รับอนุญาต ซึ่งนำไปสู่การฟอกเงินในต่างประเทศผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลและ Exchange ต่างชาติ ก่อนกระจายเงินเข้าสู่กลุ่มมิจฉาชีพ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือธุรกิจผิดกฎหมายอื่น โดยการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในลักษณะ “ชนมือ” หรือการนัดพบเพื่อแลกเปลี่ยน เหรียญดิจิทัลกับเงินสด นอกสถานที่และนอกระบบที่ได้รับอนุญาต ถือเป็นพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งในด้านความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และการมีส่วนร่วมในธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือกิจกรรมผิดกฎหมายอื่นๆ หากพบว่ามีการดำเนินการดังกล่าวโดยบุคคลทั่วไป หรือแม้แต่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบ กิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่มีการแอบให้บริการแลกเปลี่ยน สินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอให้ประชาชนเลือกใช้บริการผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ รัฐบาลได้ออก พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้มีความปลอดภัย โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยขอแจ้งเตือนประชาชนและผู้ประกอบการให้ระมัดระวังการ ซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้ รับอนุญาต ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนด การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 5 ปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาท ถึงห้าแสนบาท และปรับอีกไม่เกิน วันละหนึ่งหมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ พระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท รวมถึงความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา ในหมวดการฉ้อโกงหรือการใช้เอกสารอันเป็นเท็จ และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ แลกเปลี่ยนเงินตราที่มีใบอนุญาต จากธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ฝ่าฝืนโดยลักลอบให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตและถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมด้วย จึงขอให้ประชาชน ใช้บริการเฉพาะผู้ที่ได้รับใบอนุญาต อย่างถูกต้อง และหากพบพฤติกรรมต้องสงสัยสามารถแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกัน ความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ .419 สำนักข่าวไทย