กู้ตึก สตง.ใหม่ถล่มได้แล้วเกือบ 70% ลดความสูงซากได้ต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ 23 เม.ย. – ผอ.สปภ. เผยคืบหน้าภารกิจกู้ซากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ถล่ม ปฏิบัติการคืบหน้าเกือบร้อยละ 70 สามารถลดระดับความสูงของซากอาคารลงมาได้ต่อเนื่อง


บรรยากาศบริเวณอาคาร สตง.ถล่ม เช้านี้ เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการรื้อถอนซากอาคาร พร้อมกับค้นหาร่างผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องจักรหนัก และกำลังคน ยังคงสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำงานพร้อมทั้งฉีดพ่นละอองน้ำ เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น โดยวันนี้มีการประชุมความคืบหน้าปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายและรื้อถอนซากอาคาร สตง.ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว ที่กองอำนวยการร่วม นำโดย รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร และส่วนที่เกี่ยวข้อง

นายสุริยชัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าภารกิจกู้ซากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ถล่ม ว่า การลดความสูงของซากอาคารในภาพรวม เฉลี่ยแล้ว ลดลง 1.17 เมตร หากคงระดับนี้ได้จะอยู่ในระยะเวลาคาดว่าภายในสิ้นเดือนจะถึงชั้นที่ 1 ส่วนการทำงานจะมีการทำแผนของชั้นใต้ดินและมีการประชุมกับทางทีมงานแล้ว โดยเฉพาะฝ่ายช่าง ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะได้ไปดูหน้างาน ซึ่งตัวอาคารเดิมจะมีความกว้างยาวอยู่ที่ 40×40 เมตร ส่วนด้านข้างของซากอาคารด้านซ้ายซึ่งเป็นอาคารที่เชื่อมกันได้มีการรื้อออกและนำเศษปูนไปถมพื้นชั้นใต้ดินเพื่อจะนำรถเครื่องจักรหนักเข้าไปทำงาน จึงวางแผนเพื่อใช้พื้นที่ ในส่วนนี้มีการวางแผนจะนำเศษปูนออกเพื่อให้มีที่ว่างขุดด้านข้างของตัวชั้นใต้ดิน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาการทำงานไม่หายไปสามารถทำงานเสร็จสิ้นได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด


ส่วนการทำงานด้านล่างจะใช้การลดทอนความสูงจากด้านบน โดยที่บริเวณด้านบนจะมีการขุดแล้วนำเศษปูนออก จากนั้นจะตัดเหล็ก ที่ผ่านมามีการลดระดับลงเรื่อย ๆ ความสูงก็จะลดลงและความหนาก็จะหายไป หากดูจากหน้างาน ตัวด้านหน้าที่เคยบอกว่าเป็นโซน A กับ โซน D จะเหลือแค่ A4 กับ D1 ส่วนบริเวณโซน A1-A3 รวมถึงโซน D2-D4 ได้ลดลงหายไปแล้ว จึงยังเหลือพื้นที่ที่จะต้องดำเนินการบริเวณโซนด้านหน้าของโซน A และโซน D อีก 1 ใน 4 ส่วน สำหรับลดทอนความสูงที่โซน B และ โซน C จากความสูง 8.58 เมตร ลดเหลือ 7.41 เมตร ส่วนโซน A และโซน D จาก 9.78 เมตร ลดมาเหลือ 9.25 เมตร

ส่วนความยากของการค้นหา นายสุริยชัย บอกว่าความยากยังคงเหมือนเดิม คือตัวเหล็ก เพราะเครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องจักรหนักก็มีการเสีย เป็นระยะ เมื่อเสียก็จะมีการซ่อมแซม เมื่อวานนี้พบเสีย 8 เคส แต่เคสหนักๆ คือมีบูมหักของเครื่องจักรเบอร์ 18 ไม่สามารถซ่อมแซมได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวใหม่ ทำให้เครื่องจักรหนักหายไป 1 ตัว ส่วนเคสที่มีการซ่อมแซมไปเมื่อวานนี้เกี่ยวกับระบบไฮดรอลิกก็ได้มีการถอดเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอุปกรณ์ซ่อมแซมจะอยู่หน้างาน ช่วยให้การทำงานทำได้รวดเร็วขึ้น บางส่วนมีบุ้งกี๋แตกทำให้ต้องเสียเวลาในการเชื่อมโดยมีทีมช่างของกองอำนวยการช่างกลสำนักงานโยธา กรุงเทพมหานครจัดทีมช่างเข้ามาช่วยดำเนินการ

เมื่อถามถึงบริเวณช่องบันไดพบร่างผู้สูญหายเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุริยชัย กล่าวว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณเที่ยงได้พบร่างจำนวน 2 ร่างบริเวณช่องบันได หลังจากนั้นยังไม่ได้พบเพิ่มเติมแต่จะมีพบชิ้นส่วนบางชิ้นส่วน ทั้งชิ้นส่วนเนื้อและชิ้นส่วนกระดูกจำนวน 4 เคส ทั้งนี้ผู้สูญหายที่เหลือคาดว่าน่าจะอยู่บริเวณชั้นล่างเพราะพฤติกรรมของคนจะวิ่งหนี ตามที่มีการคำนวณจะมีชั้นที่ต่ำกว่าชั้น 15 ลงไปจากข้อมูลมีคนทำงานอยู่ประมาณ 40 คน ซึ่งสอดรับกับข้อมูลที่คนจะวิ่งลงมาตามช่องบันไดเพื่อลงมายังชั้นล่าง ขณะนี้พบตัวช่องบันไดและป้ายของชั้น 11 แต่จัดการวิเคราะห์ตัวลิฟท์และตัวบันไดหนีไฟมีความแข็งจึงไม่แตกละเอียด การพบตัวเลขบอกบันไดเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาวิเคราะห์แต่ยังไม่ยืนยันว่าระดับที่เจอเป็นระดับนั้นจริงๆ ทั้งหมดหากคิดจากความสูงกว่า 130 เมตร จากพื้นที่ความสูงของซากอาคารที่ลงมาที่ 26.8 เมตร รวมกับชั้นใต้ดินด้วยประมาณกว่า 31 เมตร ทำให้เฉลี่ยแล้ว 1 เมตรมีประมาณ 4 ชั้น แต่ขณะนี้ความสูงอยู่ที่ 7.41 เมตร บวกกับชั้นใต้ดินลึก 4 เมตร รวมเป็น 11 เมตร


ส่วนเครื่องมือหนักในขณะนี้มี 30 ตัว การวางแผนเมื่อวานนี้ การทำงานในช่วงกลางวันเนื่องจากตัวอาคารเริ่มแคบลง ทำให้การทำงานในช่วงกลางวันจะใช้เครื่องจักร 15 ตัว ส่วนกลางคืนจะทำงาน 1 ตัว ส่วนการมาช่วยของเอกชนจะมีการทำงานเพียง 1 ผลัด ส่วนของทหารและทางราชการทำงานได้ต่อเนื่องเพราะมีการสับเปลี่ยนกำลัง จัดการพูดคุยกับทีมอาสาสมัคร ยังคง สู้ และมีเป้าหมายเดียวกันคืออยากให้นำร่างออกมาให้ครบ และอยู่ด้วยกันจนจบงาน

ส่วนเช้าวันนี้เวลา 05.00 น. ใช้กำลังพล 107 คน K-9 จำนวน 3 ตัว ซึ่งจะมีการปูพรมค้นหาในเวลานี้ การค้นหาจะต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบในการนำร่างผู้ประสบภัยมาคืนให้กับญาติ เพราะยังมีการพบร่างและชิ้นส่วนบริเวณกองปูนอยู่เป็นระยะ ส่วนการขนย้ายซากอาคารทั้งเศษปูนและเหล็กได้มีการประเมินกับพื้นที่ที่รองรับไว้อยู่ว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งทีมช่างยืนยันว่าเพียงพอจะมีการบริหารจัดการบีบอัดเหล็กให้แน่นขึ้นและยกขึ้นซ้อนกัน

นายสุริยชัย มองว่าการทำงานคืบหน้าประมาณ 70% การทำงานจะต้องเคลียร์พื้นที่รื้อออกทั้งหมด เพื่อให้ชัดเจนไม่มีอะไรตกค้าง เนื่องจากมีการมาแจ้งเพิ่มเติมกับทางพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับตัวเลขผู้ประสบภัย แต่จะต้องมีกระบวนการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลขณะนี้ยังยืนยันยอดผู้สูญหายที่ 103 ราย โดยได้มีการหารือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ากระบวนการสอบสวนยืนยันข้อมูล จะต้องเสร็จพร้อมกับการรื้อถอนอาคาร ทั้งนี้จำนวนผู้สูญหายจากเหตุอาคารสตง.ถล่ม ยังคงข้อมูลเดิม คือส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวไทย ตามมาด้วยแรงงานเมียนมา และสัญชาติอื่น

ขณะที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์สำนักงานเขตจตุจักร สรุปยอดผู้ประสบเหตุ 103 คน ในช่วง 10.00 น. ยืนยันผู้เสียชีวิตคงเดิม 53 ราย บาดเจ็บ 9 คน และผู้สูญหายอยู่ระหว่างค้นหา 41 คน โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ จนถึงเวลา 10.00 น. ทีมค้นหาสามารถเก็บกู้ชิ้นส่วนอวัยวะ ผู้สูญหายได้เพิ่มเติม อีก 3 เคส และที่บริเวณ การรถไฟฯ ที่นำซากอาคารไปทิ้ง พบชิ้นส่วนอวัยวะอีก 1 เคส โดยอวัยวะส่วนใหญ่ที่พบเป็นกระดูกและชิ้นเนื้อ ได้นำส่งสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เพื่อทำการพิสูจน์อัตลักษณ์ยืนยันตัวบุคคลอีกครั้ง.-419-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือน 9 จังหวัดฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 70%

กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – กรมอุตุฯ เตือนไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 70% และมีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” (RAGASA) […]

เปิดแนวต้านน้ำหล่มสัก ผลักดันแผนแก้น้ำท่วมซ้ำซาก

เพชรบูรณ์ 22 ก.ย. – แม้ว่าน้ำที่ท่วมชุมชนและย่านการค้าในเขตเทศบาลเมืองหล่มสัก ที่เพชรบูรณ์ จะลดลงแล้ว แต่ทิ้งความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะย่านการค้าเก่าแก่ที่เจอน้ำท่วม 2 รอบในช่วง 3 สัปดาห์ เรียกว่ายังไม่ทันได้ฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมรอบแรกเสร็จ ต้องมาเจอน้ำท่วมซ้ำอีก ขณะที่หลายคนกังวลและต้องเตรียมรับมือกับพายุที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงปลายสัปดาห์นี้ พร้อมเรียกร้องให้เร่งป้องกันและหาแนวทาง แก้ปัญหาระยะยาว ไม่ให้หล่มสักกลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก .-สำนักข่าวไทย

ฝนถล่มเชียงใหม่ ประกาศปิดน้ำตกแม่สา ส่วนวัดผาลาด เตือนน้ำป่าหลาก

เชียงใหม่ 22 ก.ย.-ฝนถล่มเชียงใหม่ อุทยานฯ ดอยสุเทพ-ปุย ประกาศปิดน้ำตกแม่สา อ.แม่ริม ชั่วคราว หลังน้ำป่าไหลหลาก ส่วนวัดผาลาด แจ้งเตือนชาวบ้านรับมือน้ำป่าหลากลงน้ำตกผาลาด ช่วงบ่ายวันนี้ ( 22 กันยายน) เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ เพจเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้โพสต์ข้อความประกาศปิดน้ำตกแม่สา ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากลงมาจนน้ำมีสีน้ำตาลขุ่น กระแสน้ำไหลแรงและเชี่ยวกราก โดยจะปิดน้ำตกแม่สาตั้งแต่วันนี้จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่พระมหาสง่า ไชยวงค์ เจ้าอาวาสวัดผาลาด ก็ได้โพสต์คลิปภาพวิดีโอ พร้อมข้อความ “มวลน้ำจากยอดดอยกำลังผ่านวัดผาลาด ญาติโยมด้านล่างช่วงนี้ก็เฝ้าไว้เน้อ” ซึ่งทางวัดผาลาดจะมีการแจ้งเตือนชาวบ้านที่อยู่ใกล้ทางน้ำไหลน้ำตกผาลาด และบริเวณเชิงดอยสุเทพในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้เฝ้าระวังน้ำป่าที่ไหลผ่านวัดลงสู่ด้านล่างทุกครั้ง สำหรับวัดผาลาดตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และมีน้ำตกผาลาดไหลผ่านพื้นที่วัดช่วงที่เกิดฝนตกหนัก จะมีน้ำป่าไหลหลากจากบนดอยสุเทพผ่านน้ำตกผาลาด ก่อนจะไหลลงสู่พื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่.-สำนักข่าวไทย

กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ชี้ JBC รับรองแล้ว

กทม. 22 ก.ย.- กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ชี้ JBC รับรองแล้ว สอดคล้อง MOU 2543 พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้วว่า หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44 สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. […]