รพ.ตำรวจ 17 เม.ย. – คืนร่างผู้เสียชีวิตเหตุตึก สตง.ถล่ม ให้ญาติเพิ่ม แม่ผู้ตายเศร้ารู้ข่าวเจอร่างลูกในวันเกิดพอดี ขณะที่เตรียมประสานสถานทูตเก็บดีเอ็นเอญาติจากประเทศเมียนมา ตรวจพิสูจน์ร่างที่ยังพิสูจน์เอกลักษณ์ไม่ได้
ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ หลังทำการผ่าพิสูจน์ร่างที่เสียชีวิตจากเหตุอาคาร สตง.ใหม่ถล่ม สามารถพิสูจน์ยืนยันตรวจเอกลักษณ์บุคคลได้ 6 ร่าง และในวันนี้มีญาติติดต่อเข้ารับ 2 ร่าง จึงมีการส่งมอบให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต โดยนาทีที่แม่ได้เห็นหน้าลูกชายวัย 36 ปี อีกครั้ง หลังเหตุอาคารถล่ม ผ่านไปแล้ว 20 วัน ถือเป็นการเจอหน้ากันอีกครั้งและครั้งสุดท้ายในรอบปีที่เศร้าโศก เนื่องจากแม่และพี่ชายอยู่ต่างจังหวัด ส่วนลูกมาทำงานเป็นช่างไฟในกรุงเทพฯ
นางบุญเส่ง อายุ 73 ปี แม่ของนายวิทยา อายุ 36 ปี ผู้เสียชีวิต เล่าว่า ลูกชายมาทำงานที่กรุงเทพฯ และอาศัยอยู่ที่นี่นานหลายปี ตนเองอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ นาน ๆ ครั้งจะมาหากัน ล่าสุดปีใหม่ตอนปี 67 ลูกไปทำงานที่บริษัทดังกล่าวได้แค่ 1 เดือน ช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ ครอบครัวลูกหลานไม่ยอมบอกจนคนข้างบ้านมาบอกถึงจะรู้ว่าลูกติดอยู่ในซากตึก กินไม่ได้นอนไม่หลับต้องเฝ้าคอยว่าลูกชายจะได้ออกมาวันไหนจนกระทั่งวันที่ 14 เมษายน เป็นวันเกิดของลูกชายพอดี มีทางเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งว่าเจอร่างลูกชายติดอยู่ภายในซากตึกเป็นเรื่องที่บังเอิญมาก ทั้งนี้ รู้สึกเสียใจแต่ก็ทำใจได้แล้ว วันนี้จะพาลูกชายกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดโพธินิมิตรสถิตมหาสีมาราม ย่านบางยี่เรือ ก่อนจะนำกระดูกไปเก็บเอาไว้บ้านเกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ

ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากเหตุอาคาร สตง.ถล่ม จากแผ่นดินไหว พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกูร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อม พล.ต.ต.วิรุฬห์ ศุภสิงห์ศิริปรีชา ผบก.นต.รพ.ตร. ร่วมแถลงความคืบหน้าว่า ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) กองทะเบียนประวัติอาชญากร และกลุ่มงานพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ร่วมกันพิสูจน์ร่างผู้เสียชีวิตเหตุเหตุอาคาร สตง.ใหม่ถล่ม ตามกระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล มีการเก็บข้อมูลผู้สูญหายและ DNA จากญาติ จำนวน 97 คน เพื่อใช้เปรียบเทียบกับศพที่ส่งมายังสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. ถึง 17 เม.ย.68 มีศพและชิ้นส่วนศพที่เข้าระบบโดยแบ่งเป็นศพจำนวน 41 ราย และชิ้นส่วนศพ 96 ชิ้น โดยมีข้อมูลผู้เสียชีวิตที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลแล้ว จำนวน 42 ราย และชิ้นส่วนศพจำนวนมาก สามารถตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลยืนยันว่าผู้เสียชีวิตไปแล้ว จำนวน 33 ราย เป็น คนไทย 22 คน เมียนมา 10 คน และกัมพูชา 1 คน และได้แจ้งญาติมารับศพแล้ว
สำหรับการตรวจพิสูจน์จะใช้ดีเอ็นเอร่วมลายพิมพ์นิ้วมือ ข้อมูลทันตกรรมและข้อมูลทางกายภาพ ส่วนที่เป็นชิ้นส่วนมนุษย์จะนำดีเอ็นเอมารวมแต่ละชิ้นให้เป็นตัวบุคคล ด้วยเวลาที่ผ่านไปนานจึงต้องใช้กระดูกในการหาดีเอ็นเอ ซึ่งใช้เวลาเพิ่มอีก 1-2 วัน ก่อนจะนำข้อมูลของครอบครัวมาเปรียบเทียบ
ส่วนแรงงานต่างด้าวที่เป็นแรงงานแฝง ได้รับประสานจาก กทม.ว่ามีญาติบางส่วนที่ประเทศเมียนมา แต่ไม่สามารถเดินทางมาได้ ทำให้มีศพบางส่วนไม่สามารถยืนยันได้ พฐก.จึงจะประสานสถานทูตเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากญาติที่ประเทศเมียนมา เพื่อนำมาตรวจพิสูจน์อีกครั้ง ขณะที่มีบางศพญาติยังไม่มารับ เนื่องจากเป็นชาวเมียนมา และบางศพญาติรอรับพร้อมศพอื่นที่ยังไม่เจอซากภายในซากอาคาร
ส่วนศพนิรนามที่ยังไม่มีญาติติดต่อขอรับ ทางสถาบันนิติเวชวิทยาฯ จะยังเก็บรักษาไว้ก่อน หากเจอญาติเมื่อไหร่ สามารถติดต่อขอรับได้ทันที. -416-สำนักข่าวไทย