ตำรวจแถลงรวบผู้ต้องหาทุจริตยาเถื่อนออกจาก รพ.ส่งต่อตลาดมืด

บช.ก. 26 มี.ค. – ตำรวจแถลงปฏิบัติการ “สยบนาคี” รวบผู้ต้องหา ทุจริตยาเถื่อนออกจาก รพ.ทหารผ่านศึก ส่งต่อตลาดมืด ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งหมดปฏิเสธ ตำรวจพบพิรุธ 7 ปี “แพทย์หญิง” สั่งจ่ายยา 28.72% ของแพทย์ทั้งโรงบาล


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นำแถลงข่าวปฏิบัติการ “สยบนาคี” บุกจับแพทย์ พยาบาลทหาร พร้อมพวก ทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยแถลงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังเมื่อเช้านี้มีปฏิบัติการเจ้าตรวจค้น 17 จุด จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 8 คน และยังเข้าตรวจค้นร้านยาที่ต้องสงสัยอีก 11 จุด

ก่อนเริ่มแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ได้นำของกลางที่ตรวจยึดมาได้จากการเข้าตรวจค้นมาแสดง ประกอบด้วย กล่องลังที่ใช้บรรจุยา, เงินสดมูลค่า 10.9 ล้านบาท, โฉนดที่ดินที่พบในบ้านพัก ซอยแสงจันทร์ เขตคลองเตย, ถุงซิปล็อคใส่ยาที่มีการแกะฉลากชื่อออกแล้วจำนวนมาก, สมุดบัญชี, ถุงพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาหลังนำมาพัก แล้วส่งต่อไปที่จังหวัดปราจีนบุรี, ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดยี่ห้อ Pradaxa อีกหลายกล่อง


พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้แจ้งเบาะแส คือ คุณพัชนีย์ ที่พบเห็นการทุจริตแล้วไม่นิ่งดูดาย ใช้ความรู้และทรัพย์สินส่วนตัวเก็บข้อมูลภาพคลิปหลักฐานทุกอย่าง ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจะมอบโล่ทำความดีเพื่อสังคมให้ สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเป็นแค่กลุ่มแรก ซึ่งยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีแผนประทุษกรรมแบบนี้ เป็นขบวนการใหญ่ ทำกันหลายที่ หลายโรงพยาบาล หลังจากนี้จะต้องไปตามเช็คบิล โดยตอนนี้ตำรวจได้รับข้อมูลจากกรมบัญชีกลางแล้ว กำลังตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดอีก โดยหากใครรู้ตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้รีบเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ถ้าช้าจะถูกออกหมายจับ

พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวว่า หลังมีการเปิดประเด็นเรื่องนี้ทางโซเชียลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจได้ประสานรับข้อมูลและทำการสืบสวน จนสามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 12 ราย และได้ขอออกหมายจับ 8 ราย ส่วนอีก 4 ราย ได้เรียกมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว

พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ อธิบายขบวนการทุจริตยานี้ว่า เริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี 2561 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ แพทย์หญิงที่สั่งจ่ายยา และกลุ่มผู้สนับสนุน คือ พ.อ.หญิง ที่ดำเนินการเกณฑ์คนผ่านแม่ทีม จากจังหวัดลพบุรี 6 ทีม รวมกว่า 600 คน ขึ้นรถตู้มาพบแพทย์หญิงที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โดยทุกคนมีสิทธิเบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 1,000 บาทในครั้งแรก หลังจากนั้นได้หัวละ 500 บาท และได้เปอร์เซ็นต์อีก 10% จากค่ายาที่เบิกได้ ส่วนแม่ทีมได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,500 บาท


จากนั้นจะมารวมยากันที่ปั๊มน้ำมันข้างโรงพยาบาลและนัดหมายนำยาไปส่งในที่ต่าง ๆ ทั้งที่พักย่านเกียกกาย และคอนโดย่านพระราม 4 ของ พ.อ.หญิง ซึ่งใน 1 สัปดาห์แพทย์หญิงรายนี้จะลงตรวจทั้งหมด 3 วัน ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์จะมีรถแท็กซี่มารับยาจากที่พักนำไปส่งให้ นายสมปราช ที่จังหวัดปราจีนบุรี ก่อนจะส่งกลับมาที่กรุงเทพมหานคร ให้นางสาวสุรีย์ และนายสมพงศ์ ซึ่งจะกระจายยาไปตามร้านขายยา จากการตรวจค้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ได้พบถุงสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาตรงกันกับที่พบในคอนโดย่านพระโขนงและพระราม 4 ด้วย

เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ระบุถึงการเข้าตรวจสอบร้านยา 11 ร้านว่า พบ 5 ร้าน ที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง แต่อีก 6 ร้าน พบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะรับยามาจากแหล่งไม่ถูกต้อง และมีการขายยาโดยที่เภสัชกรไม่อยู่ อีกทั้งยังขายยาในกลุ่มที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดย 1 ใน 6 ร้าน พบสภาพไม่ได้เป็นร้านขายยา เป็นตึกปิดมิดชิด และไม่มีใบอนุญาตขายยาด้วย ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบต่อด้วยว่ายาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทนั้นมีการนำมาจากที่ใด

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว ซึ่งที่ผ่านมามีการเข้าไปตรวจสอบสถานพยาบาลต่าง ๆ ว่ามีการเบิกจ่ายยาอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งก็มีการเรียกเงินคืนอยู่บ้าง แต่กรณีเหล่านั้นเกิดจากการเบิกจ่ายที่ใช้เกิน หรือใช้สิทธิผิดประเภท รวมถึงมีบางกรณีที่คนไข้คนเดียวไปเบิกจ่ายยาจากหลายโรงพยาบาลในวันเดียวกัน ก็จะถูกระงับสิทธิและตรวจสอบ แต่ขบวนการที่จับกุมในวันนี้มีความแตกต่าง คือมีการตั้งต้นจากตัวแพทย์เอง และมีคนใช้สิทธิมาเป็นลูกข่าย ซึ่งแพทย์หญิงคนนี้มีการสั่งจ่ายยาเป็นจำนวนมากที่สุดในโรงพยาบาลระหว่างปี 2560-2567 มีมูลค่าการสั่งจ่ายยา 84.7 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 28.72% ของแพทย์ทั้งหมดในโรงพยาบาลประมาณ 100 คน ดังนั้น หลังจากนี้จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการไปไล่ตรวจสอบว่ามีขบวนการที่มีลักษณะเดียวกันนี้ เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง

พล.อ.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ก็เห็นความผิดปกติของงบการเงินของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และพบความผิดปกติของกลุ่มคนที่มารับบริการที่มีชื่อซ้ำๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแพทย์เพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจ ในปีงบประมาณ 2567 จึงได้เข้มงวดกับเงื่อนไขการเบิกจ่ายยา ส่งผลให้งบการเงินกลับมาเป็นบวก มีกำไร 70 ล้านบาท จึงขอยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือ ควบคุมระเบียบร่วมกับกรมบัญชีกลาง ไม่ให้เงินภาษีประชาชนรั่วไหลอีก แม้แต่บาทเดียว

นายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า ที่ผ่านมาแผนประทุษกรรมในการทุจริตการเบิกจ่ายยา ส่วนใหญ่จะพบผู้กระทำความผิดไม่เกินสองคนคือผู้จ่ายและผู้รับ แต่ครั้งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยทาง ป.ป.ท.จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาต่อไป

ขณะที่ทาง นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง. กล่าวว่า หลังจากนี้จะเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม ให้มีมติมอบหมายในการตรวจสอบเชิงลึกอย่างเร่งด่วน ซึ่งนอกจากการยึดทรัพย์ จะทำการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด โดยเฉพาะของแพทย์หญิงที่สั่งจ่ายยา ซึ่งหากพบว่าเกี่ยวข้องกับข้อหาฟอกเงิน ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไป

พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรม ป.ป.ท. ตอบคำถามสื่อมวลชนเพิ่มเติม โดยยืนยันว่า วันนี้ถือเป็นดำเนินคดีเครือข่ายทั้งหมด 12 คนแล้ว ครบทั้งขบวนการไม่เหลือใครตกขบวนแล้ว ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คน ให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาทั้งหมด ส่วนนายสมปราช ที่เป็นคนรับยามาจาก พ.อ.หญิง และถูกจับกุมในจังหวัดปราจีนบุรีนั้น ยอมรับแค่ในพฤติการณ์ที่ทำ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า นายสมปราช หลังจากรับยามาแล้ว จากนั้นนางสาวสุรีย์ ได้ซื้อต่อมา แล้วนำมากระขายส่งต่อที่ร้านขายยา นายสมปราช กับ นางสาวสุรีย์ รู้จักกันผ่านทางโซเชียล และค้าขายยากันมา 6-7 ปีแล้ว

พ.ต.ท.สิริพงษ์ ยังอธิบายถึงการได้ผลประโยชน์ของขบวนการนี้ด้วยว่า ยามี 2 ชนิด คือ ยาในบัญชีที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนยานอกบัญชีคือยาที่นำเข้ามาจากประเทศ มีราคาแพง ซึ่งจากการพบในเคสนี้ เป็นยานอกบัญชี 90% ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นห่างกัน 2-10 เท่าตัว และเคสนี้ยาไม่มีต้นทุน เพราะทุกบัตรประชาชนที่ถือมาคนที่จ่ายเงินคือกรมบัญชีกลาง และจากการตรวจสอบก็พบเป็นยาในกลุ่มเรื้อรัง ยาเบาหวาน ความดัน และยาที่พบมากที่สุดในขบวนการนี้ คือ ยาลดไขมันในเลือด ซึ่งมีราคาเกือบ 1,000 บาทต่อกล่อง ต้นทุนอาจจะ 3 บาทต่อเม็ด แต่พอไปถึงร้านขายยาเพิ่มขึ้นเป็น 20-21 บาทต่อเม็ด ซึ่งจากขบวนการนี้ สร้างความเสียหายต่อรัฐทั้งหมด 50-60 ล้านบาท

ส่วนพยานหลักฐานในคดี ที่สามารถเอาผิดได้นั้น เริ่มจากการใช้ดุลพินิจที่ผิดปกติ จากการไปตรวจสอบเวชระเบียน พบการกรอกเอกสารเท็จ นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐานที่เข้ามายืนยันเรื่องการรับประโยชน์ เส้นทางการเงิน รวมถึงการตรวจสอบการทำหน้าที่ของแพทย์หญิง ซึ่งได้ตรวจสอบไป 5 ปีย้อนหลัง พบว่าแพทย์หญิงท่านนี้มีคนไข้ที่อยู่ในความดูแล 2,000 กว่าคน และเครือข่ายพวกนี้ จะแวะมาโรงพยาบาล 4 ครั้งต่อปี เท่ากับจะรักษาคนไข้และจ่ายให้หมื่นกว่าครั้งต่อปี จึงเป็นความผิดปกติทั้งหมด.-414-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบแล้วบ้าน “พระอลงกต” ที่ขอนแก่น ชาวบ้านเผยเป็นคนใจดี

ขอนแก่น 25 ส.ค. – พบแล้วบ้านของ “พระอลงกต” ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง ชาวบ้านเผย “พระอลงกต” เป็นคนใจดี กลับมาแจกเงินทุกปี พอเห็นข่าวรู้สึกตกใจและสงสาร เพราะเที่เคยสัมผัสเป็นคนใจดี ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลเพื่อตามหาบ้านของพระอลงกต รู้ว่าเป็นคน จ.ขอนแก่น ตั้งแต่กำเนิด สืบค้นที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน พบระบุว่าบ้านเกิดของหลวงพ่ออลงกต อยู่ใน อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตรวจสอบพบว่าเป็นบ้านพักข้าราชการของกรมทางหลวง และไปพบบ้านของพ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ซึ่งทุกคนไม่ได้เรียกว่าพระอลงกต แต่จะคุ้นเคยเรียกกันว่าพระจอร์จ และนิสัยของพระพระอลงกตมีแต่เรื่องราวดีๆ มอบให้กับสังคม พระอลงกตจะแวะเวียนมาบอกบุญเสมอปีละครั้ง ในช่วงวันเกิดที่โรงเรียนแก่นนคร ที่พระอลงกตเคยศึกษา อย่างช่วงที่พ่อเฉย พ่อของพระอลงกต ยังมีชีวิต พ่อเฉยจะทำว่าวให้เด็กๆ ละแวกนี้เล่น เป็นที่รักของคนในชุมชนเช่นกัน พี่สาวของพระอลงกต ขายข้าวแกงอยู่ตรงข้ามบ้านพักข้าราชการ ซึ่งบ้านของครอบครัวพระอลงกต จะอยู่ติดกับรั้วของสำนักงานทางหลวง แต่พอครอบครัวพระอลงกตเกษียณก็พากันย้ายออกไปอยู่ที่อื่น บ้านพักปัจจุบันนี้ไม่มีใครอยู่ และบ้านส่วนตัวก็ไม่มีใครอยู่อาศัยเช่นกัน พระอลงกตออกจากบ้านไปช่วงปี 2527 แต่พระอลงกตจะกลับมาที่บ้านส่วนตัวทุกปี หลังจากเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ เพื่อมาทำบุญวันเกิดโรงเรียนแก่นนคร มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ เสมอ […]

ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์”

กทม. 24 ส.ค.-ตำรวจแจ้งข้อหาเมาแล้วขับ “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่า ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยโวยวายและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ คาดน่าจะเกิดจากมึนเมา กรณีนักแสดงสาว “มารี เบรินเนอร์” ขับรถหรูเจอด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์แล้วไม่ยอมเป่าวัด ส่วนเพื่อนชายที่มาด้วยได้ลงจากรถมาโวยวายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทาง พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง เผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตำรวจ สน.วังทองหลาง ได้ตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ช่วงเวลาประมาณ 02.00-04.00 น. ได้ขอตรวจรถยนต์ยี่ห้อปอร์เช่ สีเขียว ปรากฏว่ามี น.ส.มารี เบรินเนอร์ นักแสดงสาว เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอัศม์กรณ์ โดยสารมาด้วย ซึ่งนั่งข้างหน้า และมีผู้หญิงมาด้วยอีก 2 คน เมื่อขอตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ นายอัศม์กรณ์ กลับโวยวาย ขัดขวางไม่ให้ตรวจ และมีการด่าทอด้วยคำที่หยาบคาย แต่ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ในที่สุดตำรวจได้คุมตัวทั้งหมดมายัง สน.วังทองหลาง พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาเมาแล้วขับ กับนางสาวมารี เนื่องจากนางสาวมารี ไม่ยินยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ จากนั้นนางสาวมารี ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 20,000 บาท […]

“คาจิกิ” ทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ไทยฝนตกเพิ่มทุกภาค

กรุงเทพฯ 24 ส.ค.- กรมอุตุฯ ออกประกาศระบุ ช่วงเช้าที่ผ่านมา พายุโซนร้อน “คาจิกิ” ในทะเลจีนใต้ ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น เตือน 57 จังหวัด เฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ตั้งแต่วันที่ 24-27 ส.ค.68 นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พายุโซนร้อน “คาจิกิ” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทวีกำลังแรงเป็นพายุไต้ฝุ่น “กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก ค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย และมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย ก่อนจะขึ้นฝั่งตอนบนของ ประเทศเวียดนาม และ สปป.ลาว ในช่วงวันที่ 25–26 สิงหาคมนี้ ขอบด้านหน้าของพายุ เริ่มส่งผลกระทบต่อไทยตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีเมฆฝนเพิ่มขึ้น จากนั้นจะมีฝนตก ก่อนขยายไปยังภาคกลาง รวมทั้ง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ในช่วงวันถัดไป กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า อิทธิพลของพายุ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่มีกำลังแรง จะทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ […]

“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดี เป็นคลิปตกแต่งเสียง

ทำเนียบ 24 ส.ค.-“จิรายุ” ย้ำคลิป “นั่งลงลูก” ในห้องพิจารณาคดีศาล รธน. ที่ “ชวน” ได้ยินเป็นคลิปตกแต่งเสียง ฟังกี่รอบก็ชัดว่า “นั่งลงครับ” เตือนประชาชนบิดเบือนข้อมูลใส่ร้าย อย่าโพสต์ ไม่ชัวร์ อย่าแชร์ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ กล่าวถึง กรณีมีการบิดเบือนคำพูดในวันสืบพยานของนายกรัฐมนตรี โดยหลังจากนายกรัฐมนตรีกล่าวคำสาบานตนแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งได้กล่าวคำว่า “นั่งลงครับ” แต่กลับมีกระบวนการนำไปบิดเบือนและตกแต่งเสียง โดยกล่าวหาว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพูดว่า “นั่งลงลูก“ ซึ่งเป็นการบิดเบือน ขณะเดียวกัน ยังพบว่าอดีตประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ได้สัมภาษณ์ให้ความเห็นในกรณีดังกล่าวหลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า นายชวน หลีกภัย อาจจะยังไม่ได้ฟังคลิปเต็มๆ จริงๆ ในวันดังกล่าว หรือไม่ก็อาจจะได้ฟังจากคลิปที่ถูกบิดเบือนและตกแต่ง ซึ่งความเป็นจริงการบันทึกเสียงทั้งหมดหรือการกล่าวบนบัลลังก์ คนที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณาก็ได้ยินตรงกันว่า “นั่งลงครับ” ทั้งสิ้น นายจิรายุ กล่าว ตนในฐานะเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาลองค์กรอิสระ องค์กรอัยการฯ ติดตามการทำงานกระบวนการยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลใดๆ ในกระบวนการยุติธรรมที่จะใช้คำพูดในลักษณะเช่นนี้ […]

ข่าวแนะนำ

แจงยิบข้อดี MOU43 กรอบแนวทางสำรวจปักปันเขตแดน

กต. 25 ส.ค.- อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ แจงละเอียดยิบข้อดี MOU43 ใช้เป็นกรอบแนวทางการสำรวจปักปันเขตแดน เพื่อทำแผนที่ใหม่ร่วมกันตามหลักสากล เตือนยกเลิกหนีแผนที่ 1 : 200,000 ไม่พ้น และจะวนมาทำ MOU กันใหม่ นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายถึงที่มาของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือ MOU 43 ว่าเป็นเอกสารพื้นฐานของกรอบการเจรจา ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ MOU2543 หรือ MOU43 อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ มั่นใจว่า ประเทศไทยได้เปรียบจาก MOU43 เนื่องจาก MOU43 เป็นการกำหนดกรอบความตกลง และกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสำรวจ-จัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจาก หนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำ และแนวเส้นตรง […]

“ภูมิธรรม” รับหนักใจ “กัมพูชา” ตกลงกันแล้วไปพูดอีกอย่าง

ทำเนียบ 25 ส.ค.- “ภูมิธรรม” บอก ประชุม RBC กองทัพภาค 2 เป็นเรื่องเขตแดน ยอมรับหนักใจ “กัมพูชา” ตกลงกันแล้วไปพูดอีกอย่าง ย้ำไม่ยอมให้ใครรุกล้ำอธิปไตย มองเรื่องเขตแดน ไม่เคยจบง่ายบางประเทศใช้เวลาเป็น 100 ปี อย่าไปกังวลใจ ถ้ายังยืนหยัดผลประโยชน์ชาติ พร้อมยกนาฬิกาข้อมือ ก่อนแซวตัวเอง “วันนี้วันที่เท่าไหร่ ดูเวลาทุกวัน จะพ้นตำแหน่งแล้ว” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค RBC ไทย-กัมพูชาในส่วนของกองทัพภาคที่2ในวันที่ (27 ส.ค.) จะมีการเสนอเงื่อนไขเหมือนกับการประชุม RBC ของกองทัพภาคที่ 1 หรือแตกต่างกันหรือไม่ว่า ก็ไม่มี เป็นการต่อเนื่อง จากการประชุม RBC ครั้งที่แล้ว แต่อาจจะแตกต่างกันบ้างของแต่ละสภาพพื้นที่และสภาพปัญหา และพื้นฐานจะเป็นการประชุมต่อเนื่องจากครั้งก่อน เป็นเรื่องระดับแม่ทัพไปคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเส้นแดน ทำอย่างไรที่จะทำให้ได้ข้อสรุปที่ตรงกันมากที่สุด ส่วนแนวโน้มน่าจะมีสัญญาณที่ดีใช่หรือไม่ เพราะการประชุมครั้งก่อนฝ่ายกัมพูชารับเงื่อนไข แต่การประชุมที่กองทัพภาคที่2 มีเรื่องรั้วลวดหนาม ที่แตกต่างกับกองทัพภาคที่ 1 […]

ชื่นชมผ้าไทยลายกริพเพน

25 ส.ค. – ผ้าไทยลาย “กริพเพน” ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินขับไล่กริพเพน ของกองทัพอากาศไทย ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรม แต่ยังประกาศถึงความกล้าหาญและหัวใจนักสู้ของชนชาติไทย เพจกรุงเก่าของชาวสยาม และคุณ Kamon Wan เผยแพร่ภาพผ้าไทยลายเครื่องบินรบกริพเพน โดยกองทัพอากาศ รายงานว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเครื่องบินกริพเพน ที่มาร่วมพิทักษ์แผ่นดินไทย ชายแดนไทย-กัมพูชา และถูกถ่ายทอดลงบนผ้าไหมสุรินทร์อันเลื่องชื่อ ผสาน “ความแข็งแกร่ง” ของนักรบกับ “ความงาม” แห่งภูมิปัญญาไทยได้อย่างทรงพลัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แม่ย่านางกริพเพน” ศิลป์และศรัทธาได้รวมเป็นหนึ่ง ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรม แต่ยังประกาศถึงความกล้าหาญและหัวใจนักสู้ของชนชาติไทย นี่คือผลงานที่ย้ำเตือนว่าไทยมิได้มีเพียงกำลังปกป้องผืนแผ่นดิน แต่ยังรักษารากเหง้าวัฒนธรรมอันงดงามไว้คู่กัน เพื่อบอกชัดแก่โลกว่าเราคือประเทศไทยผู้สืบสานวัฒนธรรม ที่จะไม่มีวันให้ใครมาย่ำยี ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรุงสตอกโฮล์ม สวีเดน ว่าผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารสวีเดนประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ของ SAAB สวีเดน ได้เห็นแล้วปลื้มใจมากที่คนไทยมีความรู้สึกที่ดีกับเครื่องบินกริพเพน และนับเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์ กองทัพอากาศมีกำหนดที่จะลงนามในสัญญาจัดซื้อเครื่องบิน Gripen C/D กับ FMV และ SAAB สวีเดน ในวันนี้ (25 สิงหาคม) นำโดย พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล […]

“คาจิกิ” ขึ้นฝั่งเวียดนามบ่ายนี้ ไทยเตรียมรับฝนหนัก​ 25-27​ ส.ค.

กรุงเทพฯ​ 25 ส.ค.​ – กรมอุตุฯ อัปเดตเส้นทางพายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” คาดขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบน ช่วงบ่ายถึงค่ำ วันนี้​ เตือนทั่วไทยฝนฟ้าคะนองเพิ่ม ขณะที่ภาคอีสาน​ตอน​บน​และ​ภาคเหนือ​ เตรียมรับมือฝนถล่ม ช่วง 25​ -​ 27​ ส.ค.​นี้ นายสมควร ต้นจาน ผู้​อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ศูนย์กลางพายุไต้ฝุ่น​คาจิกิอยู่ห่างจากเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม ประมาณ 150 กม. เคลื่อนตัวทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย คาดว่า​ขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบนช่วง​บ่าย​ถึง​ค่ำ​วันนี้​ และเข้าสู่ สปป ลาว ตามลำดับ เมื่อ​ขึ้นฝั่ง​พายุ​จะ​เริ่ม​อ่อนกำลัง​ลง​ โดยเมื่อเข้า​สู่ประเทศ​ไท​ยจะเป็น​หย่อมความ​กด​อากาศ​ต่ำ​ แต่ไม่รุนแรง​เท่าพายุ​วิภา ทั้งนี้​ ช่วงวันที่ 25–27 ส.ค. 68 ประเทศ​ไท​ยจะมีฝนตก​เพิ่ม​ เริ่มจาก​ขอบของ​พายุ​ ประกอบกับกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดเข้าหาศูนย์กลางของพายุ ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนตก​หนัก​ถึง​หนัก​มาก​ โดยเฉพาะ​ภาค​ตะวันออก​เฉียง​เหนือ​ตอน​บน​และ​ภาคเหนือ กรม​อุตุนิยม​วิทยา​ขอให้​ประชาชนติดตามประกาศแจ้ง​เตือน​ลักษณะ​อากาศ​อย่างใกล้ชิด.​ 512​ – สำนักข่าว​ไทย​