ดีเอสไอ-อัยการ เรียกสอบพยาน คดี 7 ตร.จับผิดตัวซ้อมคนขับมาสด้าแดง

กทม. 7 มี.ค.-ดีเอสไอ-อัยการ มีมติเรียกสอบพยาน คดี 7 ตำรวจจับผิดตัว ซ้อมคนขับมาสด้าแดงน่วม คาด่วนตรวจแอลกอฮอลล์ ย่านเลียบด่วน พร้อมชี้เข้าข่าย พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีพิเศษ และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้ประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณี 7 ตำรวจจราจร สังกัดกองกำกับ 1 บก.จร. ทำร้ายร่างกาย นายธนานพ เกิดศรี คนขับรถมาสด้าสีแดง ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายที่ขับรถแหกด่านตรวจ เหตุเกิดเมื่อเดือนกันยายน 2567 บริเวณใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม.


นายวัชรินทร์ บอกว่า วันนี้เป็นการประชุมคดีพิเศษ หลังจากที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ทำหน้าที่การสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นการสอบสวนตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยมี2ส่วนที่ต้องรับผิดชอบในการสอบสวนคือ บช.น. และดีเอสไอ โดยจะมีอัยการสูงสุดชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้สอบสวน โดย ตาม ม.31 อัยการสูงสุดใช้อำนาจชี้ขาด โดยให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบสวนคดีนี้ โดยพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ กำหนดไว้ชัดเจนไม่ว่าหน่วยงานใดสอบสวน จะต้องมีอัยการเข้ามากำกับการสอบสวน ซึ่งมี ตนเองเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งวันนี้เป็นการประชุมนัดแรก ทั้งนี้หากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. และมี ความผิด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตามกฎหมายเพียงแค่แจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ และไม่ได้มีอำนาจในการไต่สวนเหมือนคดีทั่วไป ซึ่งวันนี้ทางคดีนั้น ดีเอสไอได้ไปสอบปากคำผู้เสียหายไว้แล้วทั้งหมด5ปาก ผู้เสียหาย พ่อ พี่สาว/น้องสาวและแฟน ซึ่งเป็นการสอบสวนเบื้องต้น และวันนี้ที่ประชุม มีมติให้กำหนดการสอบพยานใหม่ ว่าจะมีการสอบใครบ้าง รวมถึงบุคคลที่ให้กล้องวงจรปิด คือสำนักงานเขตจตุกจักร ที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลาง และได้ตั้งประเด็นที่จะไปสอบสวนพยานทั้งหมด นอกจากผู้เสียหายแล้ว ยังมีการตั้งประเด็นการสอบสวนตำรวจที่อยู่ในด่านว่าใครทำอะไรบ้าง ซึ่งจากวงจรปิดที่เห็นชัดเจนโดยจะทำการสอบสวนเพื่อให้เห็นพฤติการณ์กระทำความผิดว่ามีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนอกจากผู้ค้องหา 7นาย คือ ร้อยตำรวจเอก 1ราย สิบตำรวจเอก 5ราย สิบตำรวจโท 1ราย ทั้งนี้จะต้องดูว่ามีผู้บังคับบัญชาคนไหนเกี่ยวข้องหรือไม่ด้วย รวมถึงจะต้องดูถึงการแจ้งการจับกุมด้วย เพราะบางทีตำรวจอาจจะไม่ได้แจ้งการจับกุมทุกเรื่อง ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ว่า ไม่ว่าหน่วยงานใด ถ้ามีการจับกุมและควบคุมตัวจะต้องแจ้งมาที่อัยการ และกรมการปกครองทุกกรณี ซึ่งจะต้องแจ้งทั้ง2หน่วยเพราะถ้าไม่แจ้งจะถือว่าเป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาถ้าตำรวจจับกุมแล้วไม่ได้แจ้งอัยการกับฝ่ายปกครองทราบ ก็จะต้องพิจารณาว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

“และวันนี้ มีมติจะออกหมายเรียกพยานมาสอบปากคำ และตั้งไทม์ไลน์ไว้ว่าจะทำสำนวนให้เสร็จภายในเดือน เม.ย. ส่วนตำรวจ 7นายจะยังไม่เรียกมาสอบ เพราะอยู่ในเครือข่ายที่ต้องดำเนินคดี แต่จะเรียกพยานฝั่งผู้เสียหาย 5ราย /ตำรวจหัวหน้าด่าน บุคคลที่อยู่ในด่าน และขอเอกสารทางการแพทย์ และสอบปากคำแพทย์ และพยานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ”


ส่วนมีการทำร้ายผิดคันหรือไม่นั้น นายวัชรินทร์ จะเห็นว่า ผู้เสียหายไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ขับรถเข้าด่านตามปกติ และไม่ได้เมา รวมถึงตำรวจชุดจับกุม7นายตามไป และมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะผิดคันหรือถูกคันก็ไม่มีสิทธิทำร้ายร่างกายใคร เพราะถ้ามีการซ้อมทรมานจะต้องถูกดำเนินคดี และเมื่อดูกล้องวงจรปิด จะเข้า ม.5 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เพราะมีการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง

ส่วนสำนวนที่ พนักงานสอบสวนสน.บางเขน ทำส่งไปยัง ป.ป.ช. ดังนั้นดีเอสไอ ก็จะทำหนังสือไปถึง ป.ป.ช.เพื่อขอสำนวนกลับคืนมา เพราะเป็นอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ ทั้งนี้ไม่ได้มีปัญหาแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้สำนวนจาก ป.ป.ช.กลับมา เพราะดีเอสไอเดินหน้าทางคดีไปค่อนข้างมากแล้ว และมีการสอบพยานไปแล้วในการสืบสวน แต่เมื่อเป็นคดีพิเศษหลังจากนี้จะทำการสอบสวนใหม่อีกครั้ง โดยมีอัยการจากสำนักงานอัยการสอบสวน มากำกับการสอบสวน

และคดีนี้ นายวัชรินทร์ ยังบอกอีกว่า ได้มีการแจ้งอัยการ เพียงอย่างเดียว ไม่ได้แจ้งฝ่ายปกครอง แต่เป็นการแจ้งอัยการหลังเกิดเหตุ 3วัน โดยยังไม่ได้ให้เหตุผล ดังนั้นจะต้องไปตรวจสอบว่า การแจ้งดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่อย่างไรตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ทั้งนี้ยังตอบไม่ได้ว่าไม่มีการรายงานเพราะอะไร ต้องการปกปิดหรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์ในมาตรา 42 หากตรวจสอบแล้วเข้าข่านก็สามารถดำเนินคดีได้


นายวัชรินทร์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้เงียบหายไป ซึ่งตำรวจ 7นาย เท่าที่ทราบคือให้ออกจากราชการไว้ก่อนที่เป็นโทษทางวินัย ส่วนการดำเนินคดีอาญายังคงอยู่ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มีอัตราโทษสูงถึง 15 ปี

ขณะที่ นายอังศุเกติ์ บอกว่า การเยียวยาผู้เสียกาย ได้การการเสนอไปแล้ว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังก่อน เพราะกระทรวงยุติธรรมได้มีการพิจารณาไปแล้ว ส่วนตัวเลขจะต้องเยียวยาเท่าไร รอให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนเพราะต้องเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการ ส่วนการข่มขู่คุกคาม ขณะนี้ยังไม่ได้มีการข่มขู่คุกคามผู้เสียหายเกิดขึ้น.-415.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

บิ๊กอ๊อดรอดคุก

“บิ๊กอ๊อด” รอดคุก คดี “บอส อยู่วิทยา” อัยการเนตร คุก 3 ปี

“บิ๊กอ๊อด-ตร.” ทำคดี “บอส” รอดคุก ศาลยกฟ้อง ส่วน “อัยการเนตร” ศาลสั่งจำคุก 3 ปี และ “อัยการชัยณรงค์” จำคุก 2 ปี

รวบทันควัน คนร้ายบุกเดี่ยวชิงเงินธนาคาร

จับแล้ว คนร้ายบุกเดี่ยวชิงทรัพย์ธนาคารกลางเมืองเชียงใหม่ ได้เงินสดกว่า 40,000 บาท ก่อนวิ่งหลบหนี ล่าสุดจนมุมตำรวจรวบตัวได้ที่ศาลาริมทางข้างถนน

สป.สายไหม

“กัน จอมพลัง” หอบหลักฐานร้องสอบ สป.สายไหม เอี่ยวเว็บพนัน

“กัน จอมพลัง” หอบหลักฐาน ร้องตรวจสอบ สป.สายไหม เอี่ยวเว็บพนันออนไลน์ ยินดีให้ตำรวจตรวจสอบกลับ มั่นใจประวัติขาวสะอาด ย้ำ “ลูกพีช” ควรขอโทษอย่างจริงใจ

ข่าวแนะนำ

นายกฯ เตรียมเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา และการส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ปัญหาและการพัฒนาของสองประเทศ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยรายงาน

9 ทันโลก : เตรียมเริ่มกระบวนการเลือกโป๊ปองค์ใหม่

หลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ประมุขแห่งศาสนจักรสิ้นพระชนม์ รายงาน 9 ทันโลกวันนี้จะพาไปรำลึกถึงพระองค์และติดตามกระบวนการเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่

พิพากษาแก๊งช่วยแก้ความเร็วรถ “บอส”

วันนี้คดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสินจำคุกอดีตรองอัยการสูงสุด และอดีตอัยการอีก 1 คน ฐานความผิดแก้ความเร็วรถคันเกิดเหตุ หวังช่วยผู้ต้องหา