ดีเอสไอ-อัยการ เรียกสอบพยาน คดี 7 ตร.จับผิดตัวซ้อมคนขับมาสด้าแดง

กทม. 7 มี.ค.-ดีเอสไอ-อัยการ มีมติเรียกสอบพยาน คดี 7 ตำรวจจับผิดตัว ซ้อมคนขับมาสด้าแดงน่วม คาด่วนตรวจแอลกอฮอลล์ ย่านเลียบด่วน พร้อมชี้เข้าข่าย พ.ร.บ.ป้องกันการซ้อมทรมานฯ

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสอบสวนคดีพิเศษ และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้ประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณี 7 ตำรวจจราจร สังกัดกองกำกับ 1 บก.จร. ทำร้ายร่างกาย นายธนานพ เกิดศรี คนขับรถมาสด้าสีแดง ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายที่ขับรถแหกด่านตรวจ เหตุเกิดเมื่อเดือนกันยายน 2567 บริเวณใกล้ด่านตรวจบริเวณซอยประเสริฐมนูกิจ 21 แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กทม.


นายวัชรินทร์ บอกว่า วันนี้เป็นการประชุมคดีพิเศษ หลังจากที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ทำหน้าที่การสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นการสอบสวนตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยมี2ส่วนที่ต้องรับผิดชอบในการสอบสวนคือ บช.น. และดีเอสไอ โดยจะมีอัยการสูงสุดชี้ขาดว่าใครจะเป็นผู้สอบสวน โดย ตาม ม.31 อัยการสูงสุดใช้อำนาจชี้ขาด โดยให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบสวนคดีนี้ โดยพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ กำหนดไว้ชัดเจนไม่ว่าหน่วยงานใดสอบสวน จะต้องมีอัยการเข้ามากำกับการสอบสวน ซึ่งมี ตนเองเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งวันนี้เป็นการประชุมนัดแรก ทั้งนี้หากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. และมี ความผิด ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตามกฎหมายเพียงแค่แจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ และไม่ได้มีอำนาจในการไต่สวนเหมือนคดีทั่วไป ซึ่งวันนี้ทางคดีนั้น ดีเอสไอได้ไปสอบปากคำผู้เสียหายไว้แล้วทั้งหมด5ปาก ผู้เสียหาย พ่อ พี่สาว/น้องสาวและแฟน ซึ่งเป็นการสอบสวนเบื้องต้น และวันนี้ที่ประชุม มีมติให้กำหนดการสอบพยานใหม่ ว่าจะมีการสอบใครบ้าง รวมถึงบุคคลที่ให้กล้องวงจรปิด คือสำนักงานเขตจตุกจักร ที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลาง และได้ตั้งประเด็นที่จะไปสอบสวนพยานทั้งหมด นอกจากผู้เสียหายแล้ว ยังมีการตั้งประเด็นการสอบสวนตำรวจที่อยู่ในด่านว่าใครทำอะไรบ้าง ซึ่งจากวงจรปิดที่เห็นชัดเจนโดยจะทำการสอบสวนเพื่อให้เห็นพฤติการณ์กระทำความผิดว่ามีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนอกจากผู้ค้องหา 7นาย คือ ร้อยตำรวจเอก 1ราย สิบตำรวจเอก 5ราย สิบตำรวจโท 1ราย ทั้งนี้จะต้องดูว่ามีผู้บังคับบัญชาคนไหนเกี่ยวข้องหรือไม่ด้วย รวมถึงจะต้องดูถึงการแจ้งการจับกุมด้วย เพราะบางทีตำรวจอาจจะไม่ได้แจ้งการจับกุมทุกเรื่อง ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ว่า ไม่ว่าหน่วยงานใด ถ้ามีการจับกุมและควบคุมตัวจะต้องแจ้งมาที่อัยการ และกรมการปกครองทุกกรณี ซึ่งจะต้องแจ้งทั้ง2หน่วยเพราะถ้าไม่แจ้งจะถือว่าเป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาถ้าตำรวจจับกุมแล้วไม่ได้แจ้งอัยการกับฝ่ายปกครองทราบ ก็จะต้องพิจารณาว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

“และวันนี้ มีมติจะออกหมายเรียกพยานมาสอบปากคำ และตั้งไทม์ไลน์ไว้ว่าจะทำสำนวนให้เสร็จภายในเดือน เม.ย. ส่วนตำรวจ 7นายจะยังไม่เรียกมาสอบ เพราะอยู่ในเครือข่ายที่ต้องดำเนินคดี แต่จะเรียกพยานฝั่งผู้เสียหาย 5ราย /ตำรวจหัวหน้าด่าน บุคคลที่อยู่ในด่าน และขอเอกสารทางการแพทย์ และสอบปากคำแพทย์ และพยานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ”


ส่วนมีการทำร้ายผิดคันหรือไม่นั้น นายวัชรินทร์ จะเห็นว่า ผู้เสียหายไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ขับรถเข้าด่านตามปกติ และไม่ได้เมา รวมถึงตำรวจชุดจับกุม7นายตามไป และมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะผิดคันหรือถูกคันก็ไม่มีสิทธิทำร้ายร่างกายใคร เพราะถ้ามีการซ้อมทรมานจะต้องถูกดำเนินคดี และเมื่อดูกล้องวงจรปิด จะเข้า ม.5 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เพราะมีการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง

ส่วนสำนวนที่ พนักงานสอบสวนสน.บางเขน ทำส่งไปยัง ป.ป.ช. ดังนั้นดีเอสไอ ก็จะทำหนังสือไปถึง ป.ป.ช.เพื่อขอสำนวนกลับคืนมา เพราะเป็นอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ ทั้งนี้ไม่ได้มีปัญหาแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้สำนวนจาก ป.ป.ช.กลับมา เพราะดีเอสไอเดินหน้าทางคดีไปค่อนข้างมากแล้ว และมีการสอบพยานไปแล้วในการสืบสวน แต่เมื่อเป็นคดีพิเศษหลังจากนี้จะทำการสอบสวนใหม่อีกครั้ง โดยมีอัยการจากสำนักงานอัยการสอบสวน มากำกับการสอบสวน

และคดีนี้ นายวัชรินทร์ ยังบอกอีกว่า ได้มีการแจ้งอัยการ เพียงอย่างเดียว ไม่ได้แจ้งฝ่ายปกครอง แต่เป็นการแจ้งอัยการหลังเกิดเหตุ 3วัน โดยยังไม่ได้ให้เหตุผล ดังนั้นจะต้องไปตรวจสอบว่า การแจ้งดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่อย่างไรตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ทั้งนี้ยังตอบไม่ได้ว่าไม่มีการรายงานเพราะอะไร ต้องการปกปิดหรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์ในมาตรา 42 หากตรวจสอบแล้วเข้าข่านก็สามารถดำเนินคดีได้


นายวัชรินทร์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้เงียบหายไป ซึ่งตำรวจ 7นาย เท่าที่ทราบคือให้ออกจากราชการไว้ก่อนที่เป็นโทษทางวินัย ส่วนการดำเนินคดีอาญายังคงอยู่ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มีอัตราโทษสูงถึง 15 ปี

ขณะที่ นายอังศุเกติ์ บอกว่า การเยียวยาผู้เสียกาย ได้การการเสนอไปแล้ว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังก่อน เพราะกระทรวงยุติธรรมได้มีการพิจารณาไปแล้ว ส่วนตัวเลขจะต้องเยียวยาเท่าไร รอให้กระทรวงการคลังพิจารณาก่อนเพราะต้องเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการ ส่วนการข่มขู่คุกคาม ขณะนี้ยังไม่ได้มีการข่มขู่คุกคามผู้เสียหายเกิดขึ้น.-415.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา

กองทัพบก 3 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา กองทัพบก ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดีย หลังมีการอ้างว่า “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า กองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวจังหวัดสุรินทร์ภายในคืนนี้ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีกัมพูชา ก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันในพื้นที่ไม่ได้มีการสั่งอพยพด่วนชาวสุรินทร์อย่างที่ระบุไว้ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ที่ผ่านมา การนำเสนอข้อมูลของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวทางการ และไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข้อมูลเท็จที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่มีแนวโน้มละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง รวมถึงพบว่ามีการเพิ่มเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่. – สำนักข่าวไทย

พระราชทานเพลิงศพ 7 ผู้วายชนม์ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

3 ส.ค. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ ครอบครัวและญาติทำพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิต 7 ราย จากเหตุกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี เชิญกล่องเพลิงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน และช่อดอกไม้จันทน์พระราชทาน มายังศาลาพุทธคุณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นมีการอ่านหมายรับสั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย ได้แก่ นางสาวรุ่งรัศ, เด็กหญิงทักษพร, เด็กชายพงศภัค, เด็กชายกิตติศักดิ์, นางสาวสาวิตรี, นางอรุณรัตน์ และนายสมศรี โดยมี 5 ราย เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนอีก […]

ตร.แจ้ง 2 ข้อหามือมีดทำร้าย “เป๊ก” คาดปมเข้าใจผิด

3 ส.ค.- ตำรวจ สน.หัวหมาก แจ้ง 2 ข้อหา หนุ่มวัย 21 ใช้มีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” นักร้องชื่อดัง บาดเจ็บที่คางเป็นแผลฉกรรจ์ อ้างถูกหาเรื่องก่อน เบื้องต้นคาดปมเข้าใจผิด จ่อสอบปากคำเพิ่มเติม เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 3 ส.ค.68 ร.ต.อ.ชัยนรินทร์ กวีพราหมณ์ รอง.สว.(สอบสวน) สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีด มีผู้บาดเจ็บ ภายในปั๊มน้ำมัน ซอยรามคำแหง 76 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงไปตรวจสอบพร้อมกำลังสายตรวจฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.หัวหมาก และอาสามูลนิธิสยามร่วมใจปู่อินทร์ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน พบร่างนายผลิตโชค หรือ เป๊ก อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง มีบาดแผลฉกรรจ์ถูกอาวุธมีดฟันเข้าที่บริเวณใต้คาง 1 แผล ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ส่วนผู้ก่อเหตุไม่หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ […]

เฝ้าระวังตลอดคืน พบโดรนปริศนาบินล้ำเขตแดนอรัญฯ

สระแก้ว 3 ส.ค.- พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนจากกัมพูชาเข้ามาในไทย ชาวบ้าน-ชรบ.ในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เฝ้าระวังตลอดทั้งคืน คืนที่ผ่านมา เวลา 21.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยจุดที่ทีมข่าวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียง 2 กิโลเมตร บรรยากาศในพื้นที่ขณะนั้นมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกมาคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับแจ้งว่าอาจมีโดรนปริศนาเข้ามาในพื้นที่ ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ พบโดรนลำหนึ่งบินเข้ามาจากเขตชายแดนฝั่งกัมพูชา ล้ำเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยลึกประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่โดรนลำนั้นลอยอยู่เหนือพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลต์กำลังแรงสูงร่วมกับแสงเลเซอร์จากอุปกรณ์ของทหาร ส่องไปยังโดรนปริศนาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นลำตัวของโดรนแม้อยู่ในความมืด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยว่าโดรนลำนั้นมีเป้าหมายใดหรือเป็นของฝ่ายใด ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงเพิ่มมาตรการตรวจตราและเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดหรือภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ -สำนักข่าวไทย