ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา ถอนเงินสดจากการหลอกเหยื่อเกือบ 3 พันล้านบาท

กทม. 18 ก.พ.-ตำรวจสอบสวนกลาง ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา พบถอนเงินสดจากการหลอกเหยื่อกว่า 2,900 ล้านบาท


ตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. จับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและไทย จำนวน 10 คน หลังจากช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ได้มีผู้เสียหายซึ่งต้องการหางานทำเพื่อหารายได้พิเศษได้พบโพสต์ประกาศหางานในสื่อโซเชียลมีเดีย ประกาศว่าเป็นการทำงานพิเศษเสริมรายได้ โดยเป็นการรับสินค้าไปแพ็กที่บ้าน

ต่อมาผู้เสียหายได้ติดต่อพูดคุย โดยในช่วงแรกคนร้ายได้ชักชวนให้ทำงานพิเศษในรูปแบบออนไลน์ โดยเป็นงานกดไลค์ กดเพิ่มยอดติดตามต่าง ๆ เมื่อผู้เสียหายได้ทดลองทำงานดังกล่าวปรากฏว่าได้รับเงินจากการทำงานจริงเป็นจำนวนหลายครั้ง จากนั้นคนร้ายจึงเริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายทำกิจกรรมพิเศษต่างๆ โดยกิจกรรมดังกล่าวผู้เสียหายจะต้องนำเงินมาลงทุนก่อน จากนั้นจึงจะได้รับผลตอบแทนจากการทำงานตามเงินลงทุนที่ลงทุนไป โดยมีผลตอบแทนประมาณ 30%-50% ภายหลังผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้นำเงินไปร่วมลงทุน โดยในช่วงแรกมีการให้ผลตอบแทนในการลงทุนจริง


จากนั้นคนร้ายได้มีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินไปลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายหลังผู้เสียหายไม่สามารถถอนเงินออกมาจากระบบได้ โดยคนร้ายให้เหตุผลว่าเป็นความผิดของผู้เสียหาย อ้างว่าไม่ทำตามขั้นตอนที่กำหนด ภายหลังผู้เสียหายจึงเชื่อว่าตนเองถูกหลอกลวง จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท.

จากการสืบสวน พบทำเป็นขบวนการ โดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารต่าง ๆ ก่อนจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดถอนออกจากบัญชี โดยจากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกันอีกประมาณ 60 ราย มูลความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท

ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอออกหมายจับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 32 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มบัญชีม้าคนไทย จำนวน 10 ราย, กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน จำนวน 2 ราย, กลุ่มขบวนการที่มีการฟอกเงิน จำนวน 20 ราย (ชาวไทย 1 ราย, ชาวจีน 14 ราย, ชาวเกาหลี 5 ราย)


ก่อนเปิดปฏิบัติการ “ทลายแก๊งฟอกเงินมังกรเทา” โดยเข้าทำการตรวจค้น/จับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว เข้าตรวจค้นจำนวน 20 จุด 8 จังหวัด ทั่วประเทศไทย โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพฯ 7 จุด, จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5 จุด, จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 3 จุด, จังหวัดสระแก้ว จำนวน 1 จุด , จังหวัดปราจีนบุรีจำนวน 1 จุด, จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1 จุด จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1 จุด และจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 1 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 10 ราย ได้แก่ สมาชิกแก๊งฟอกเงินให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยจำนวน 5 ราย และเจ้าของบัญชีม้าที่ใช้ในการกระทำความผิด จำนวน 5 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ รวม 210 รายการ เช่น คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, สมุดบัญชี, รถยนต์ /รถจักรยานยนต์, เงินสด, โฉนดที่ดินบ้าน/คอนโด, นาฬิกาหรู, กระเป๋าแบรนด์เนมและทรัพย์สินมีค่าต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจค้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ทำการฟอกเงินซื้อทรัพย์สิน และอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นบ้านหรูและคอนโดหรู ทรัพย์สินมีค่า อาทิ นาฬิกาหรู กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ มูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 440 ล้านบาท

จากการการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาลำดับที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการฟอกเงินในประเทศไทย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ในส่วนของผู้ต้องหาลำดับที่ 2-5 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาชาวจีน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่ามีส่วนร่วมกับผู้ต้องหาที่ 1 และกลุ่มคนจีนคนอื่นๆ ในการรับเหรียญดิจิทัลมาจากกลุ่มจีนเทามาเทขายเหรียญก่อนที่จะนำเงินสดไปส่งมอบให้กับลูกค้าชาวจีนตามจุดนัดหมายต่างๆ โดยกลุ่มคนจีนมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน มีทั้งการถอนเงินสดที่สาขา การนำส่งเงินสดตามที่ลูกค้านัดหมายตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศไทย

โดยในคดีนี้นอกจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพบความเกี่ยวข้องของเส้นทางการเงินที่มีการไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างๆ แล้ว ยังพบว่าขบวนการนี้มีพฤติการณ์ในการก่อตั้งบริษัทที่ให้คนไทยมาเป็นนอมินีในการจัดตั้งเพื่อมารับโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ภายหลังการโอนกรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจเป็นคนจีน ซึ่งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อโอนกรรมสิทธิ์บ้านเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการดำเนินธุรกิจจริง ซึ่งขณะนี้อยู่ระว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมในการตรวจยึดอสังหาริมทรัพย์และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

เบื้องต้น แจ้งข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”.-414-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พยาบาลถูกตบ

“สมศักดิ์” พร้อมช่วยคดี “พยาบาลสาว” ถูกญาติผู้ป่วยตบหน้า

“สมศักดิ์” รมว.สธ. พร้อมสนับสนุนหา “ทนายความ” ช่วยคดี “พยาบาลสาว” ถูกญาติผู้ป่วยตบหน้า บอกหากเจ้าตัวไม่ดำเนินคดี กระทรวงฯ พร้อมออกโรงแทน หวั่นเป็นเยี่ยงอย่าง

รพ.ระยอง ยันดำเนินคดีถึงที่สุดญาติคนไข้ตบพยาบาล

โรงพยาบาลระยอง แถลงปมญาติคนไข้ตบหน้าพยาบาล เผยหลังเกิดเหตุได้ดูแลอาการบาดเจ็บของพยาบาลผู้ประสบเหตุทันที ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด

ข่าวแนะนำ

“ไทย จีน เมียนมา” จับมือโชว์ภารกิจราบรื่น ส่งชาวจีนกลับประเทศ

“ไทย จีน เมียนมา” จับมือโชว์แสดงผลภารกิจราบรื่น ส่งชาวจีนเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศ 200 คน ปรับแผนจีนส่งเครื่องบินรับอีก 400 คน สองวันติด “ภูมิธรรม” เผยพร้อมเสนอนายกฯ เซ็นตั้ง ศปช.ส่วนหน้า ทำงานให้ชัดเจน มีกฎหมายรองรับผู้ปฏิบัติ ย้ำไทยไม่ตั้งศูนย์อพยพรองรับเหยื่อที่เหลือ แต่ประสานให้ต้นทางรับกลับทันที

เก๋งชนกระบะพุ่งตกคลอง พลเมืองดีลงไปช่วยจมหาย

เร่งค้นหาพลเมืองดี จมน้ำสูญหาย หลังกระโดดลงไปช่วยคนขับเก๋งและกระบะที่ประสบเหตุชนกัน ก่อนพุ่งตกคลองส่งน้ำ อ.หนองแค จ.สระบุรี

กกต.เสนอ ครม.ออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้งใหม่ สส.เขต 2 บึงกาฬ

กกต.เสนอ ครม.ออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ สส. เขต 2 บึงกาฬ หลังศาลฎีกามีคำพิพากษา พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิและให้ “สุวรรณา กุมภิโร” ชดใช้ค่าเลือกตั้งเกือบ 10 ล้านบาท

นายกฯ เรียกถกด่วน เร่งแก้ราคาข้าว-สินค้าเกษตรตกต่ำ

นายกฯ เรียก “รมว.พาณิชย์-รมว.เกษตรฯ” ประชุมด่วนวงเล็ก เร่งแก้ไขปัญหาราคาข้าว-สินค้าเกษตรตกต่ำ สั่ง นบข.ออกมาตรการระยะสั้นพยุงราคาข้าว เร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้คุณภาพ ลั่น รัฐบาลอยู่ข้างชาวนา-เกษตรกร