จับแก๊งจำนำรถส่งขายข้ามแดน หลอกเหยื่อสูญกว่า 100 ล้าน

กทม. 17 ม.ค.-ตำรวจทางหลวง เปิดปฏิบัติการ จับแก๊งจำนำรถส่งขายข้ามแดนให้กลุ่มจีนเทา หลอกเหยื่อสูญทรัพย์สินกว่า 100 ล้าน

พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง แถลงเปิดปฏิบัติการ Highway Gray Market จับแก๊งหลอกจำนำรถส่งข้ามแดน พบความเสียหายกว่า 100 ล้าน โดยปฏิบัติการดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปทุมธานีได้ 7 ราย แบ่งเป็น กลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่เป็นนายทุนคอยซื้อขายรถโจรกรรมและขายต่อให้นายทุนในประเทศเพื่อนบ้าน 1 ราย กลุ่มนักบินที่ทำหน้าที่วิ่งรับ-ส่งรถจำนำให้กับนายทุน 3 ราย กลุ่มเปิดเพจหลอกรับจำนำรถจากผู้เสียหาย 2 ราย และกลุ่มผู้ดูแลบัญชี 1 ราย ทั้งหมดถูกดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์


นอกจากนี้ ตำรวจทางหลวงยังได้เข้าตรวจค้นโกดังจอดรถแห่งหนึ่งใน ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี สามารถตัวยึดของกลางเป็นรถยนต์จำนวน 23 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คัน และรถแทรกเตอร์ 1 คัน ซึ่งเชื่อว่ารถทุกคันเตรียมถูกส่งขายต่อไปประเทศเพื่อนบ้าน

โดยในการแถลงข่าวในวันนี้ ทางตำรวจได้พาผู้เสียหายวัย 36 ปี มาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนด้วย โดยผู้เสียหายเล่าว่า เนื่องจากตนมีภาวะขัดสนเรื่องการเงิน กอปรกับพบเพจ Facebook ที่มีชื่อว่า “รับจำนำจอดรถจักรยานยนต์ทุกชนิด” ยิงโฆษณาเด้งขึ้นมา ด้วยความที่ต้องการใช้เงิน จึงได้ทักพูดคุย ซึ่งกว่าตนจะหลงเชื่อก็ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ โดยเป็นการพูดคุยผ่านทางแชท Facebook เพราะเพจนี้ไม่ยอมให้เบอร์โทรศัพท์แต่อย่างใด


กระทั่งเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 เพจได้ล่อลวงให้ผู้เสียหายนำรถมาจำนำในราคา 80,000 บาท โดยนัดหมายส่งมอบรถบริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ตนจึงนำรถกระบะฟอร์ดเรนเจอร์สีขาว ซึ่งซื้อมาในมูลค่าประมาณ 800,000 บาทมาจำนำ เมื่อถึงวันนัดส่งมอบรถ มีผู้ต้องหา 2 คนมาทำหน้าที่รับรถและมอบเงินสดให้กับผู้เสียหายจำนวน 71,000 บาท โดยอ้างว่าอีก 9,000 บาทหักเป็นค่าดอกเบี้ยและค่าจอดรถ

วันรุ่งขึ้น วันที่ 27 พฤศจิกายน ผู้เสียหายสามารถหาเงินมาได้และได้ติดต่อกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อขอไถ่รถคืน แต่ผู้ต้องหาออกอุบายว่า ต้องโอนเงินอีก 80,000 บาทถึงจะยอมคืนรถ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินไป แต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับกลุ่มผู้เสียหายได้อีกเลย เพราะถูกเพจบล็อค จึงได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี และขอความช่วยเหลือมายังสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ให้ติดตามรถที่ถูกผู้ต้องหาหลอกลวงไป

ผู้เสียหายยอมรับว่า ไม่รู้ว่าจะสามารถติดตามรถคืนมาได้หรือไม่ แต่ก็ยังคงมีความหวัง เพราะรถคันนี้ตนซื้อมาได้ 7 ปี ยังเหลือผ่อนอีกประมาณ 400,000 บาท ซึ่งต้องขอขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับกุมคนร้ายเหล่านี้ได้และอยากเตือนเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าหลงเชื่อเพจเหล่านี้ เพราะเนื่องจากตนถูกเพจของคนร้ายพูดจาหว่านล้อมอย่างดิบดีและอ้างว่าใช้เอกสารเพียงบัตรประชาชนกับสำเนาทะเบียนรถ จึงมองว่าง่ายและเป็นการฝากจำนำรถเพียงแค่แป๊บเดียว รวมทั้งไม่ทำให้เอะใจกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวด้วย แต่ก็ไม่นึกว่าจะถูกนำรถไปขายแบบนี้


ด้าน พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล. เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางตำรวจทางหลวงได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว จึงเริ่มต้นสืบสวนจากการแกะรอยบัญชีที่ผู้เสียหายโอนไป จนสามารถจับเจ้าของบัญชีได้ ซึ่งจากการสอบปากคำ เจ้าของบัญชีอ้างว่าก็เคยเป็นเหยื่อลูกหนี้ของแก๊งดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากไม่สามารถผ่อนต่อได้ไหว เลยถูกกลุ่มคนร้ายเสนอให้เปิดบัญชีธนาคารเพื่อแลกกับการที่รถจะไม่ถูกนำไปปล่อยในขายในตลาดมืด แต่ทางตำรวจไม่ปักใจเชื่อคำให้การดังกล่าว

หลังจากนั้นทางตำรวจได้ทำการขยายผลเพิ่มเติมจนสามารถจับกุมกลุ่มเจ้าของเพจ Facebook ที่หลอกลวงผู้เสียหายได้ 2 ราย แล้วหลังจากนั้นได้ขยายผลเพิ่มเติมจนสืบทราบว่า กลุ่มหลอกลวงผู้เสียหายจะนำรถที่ได้จากผู้เสียหายไปส่งต่อให้กับกลุ่มนักบินที่อยู่ในพื้นที่ จ.ราชบุรี แล้วหลังจากนั้นกลุ่มนักบินก็จะนำรถมาเก็บไว้ที่โกดังในพื้นที่ ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นโกดังของนายทุนใหญ่ โดยจะเก็บรถเอาไว้เพื่อรอคำสั่งซื้อขายจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ค่อยลักลอบนำรถข้ามพรมแดนธรรมชาติไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมกลุ่มแก๊งนักบินได้จำนวน 3 รายที่บ้านในพื้นที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โดยในจำนวนนี้พบอาวุธปืนมีทะเบียน 1 กระบอก ซึ่งอยู่ในระหว่างการขยายผล ก่อนที่ในเวลาต่อมา วันที่ 14 มกราคม ก็ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นโกดังจอดรถใน ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี สามารถตรวจยึดรถของการที่กล่าวไว้ข้างต้นและจับกุมนายทุนตัวการใหญ่ได้ 1 คน พร้อมตรวจยึดปืนมีทะเบียนอีก 1 กระบอก

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดยังคงให้การปฏิเสธ แต่จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่า ขบวนการลักรถดังกล่าวนั้น ได้ก่อเหตุมาแล้ว 2 ปี ลักลอบขายรถยนต์ให้กับกลุ่มนายทุนทั้งในและนอกประเทศร้อยกว่าคัน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมว่า อาจจะมีเพจ Facebook ที่ร่วมขบวนการเพจอื่น ๆ รวมทั้งกลุ่มนักบินกลุ่มอื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ ไปจนถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงินเชื่อว่า อาจจะมีความเชื่อมโยง กับนายทุนฝั่งเมียนมาและทุนจีนสีเทา

พ.ต.อ.ภคพล กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นพบว่าอาจจะมีกลุ่มขบวนการที่ปลอมแปลงเอกสารร่วมด้วย โดยการปลอมทะเบียนรถหรือเอกสารอื่นๆ ของรถ เพื่อใช้ตบตาเจ้าหน้าที่ในการข้ามด่านพรมแดน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ตรวจสอบขบวนการดังกล่าว ยังเป็นการขายรถสภาพปกติไปยังชายแดน ไม่พบการดัดแปลงตัวถังรถหรือเลขคัสซีขายไปยังชายแดนแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป. ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล. เปิดเผยว่า เนื่องจากมีกลุ่มทุนจีนสีเทาไปขยายสร้างอาณาจักรธุรกิจมืดในพื้นที่ชายแดนฝั่งประเทศเมียนมา จึงมีความต้องการรถยนต์เพื่อมาบริการให้กับกลุ่มลูกค้าจีนเทามากขึ้น แต่เนื่องจากฝั่งประเทศเมียนมานั้นรถค่อนข้างหายาก จึงต้องคอยขโมยรถในประเทศไทยไปขายที่ชายแดนประเทศเมียนมา โดยกลุ่มทุนจีนสีเทานั้นมีความต้องการรถยนต์ประเภทรถหรู เช่น Alphard หรือรถเบนซ์ รวมทั้งต้องการรถที่นำไปใช้ขนของหรือสิ่งผิดกฎหมาย เช่น รถกระบะ 4 ล้อ เป็นต้น

ส่วนวิธีการลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมานั้น พบว่า กลุ่มขบวนการดังกล่าวมี 2 วิธีการ ได้แก่ การข้ามพรมแดนปกติผ่านด่านเจดีย์สามองค์ โดยใช้วิธีการปลอมแปลงเอกสารราชการเกี่ยวกับรถ กับอาศัยช่องทางธรรมชาติตามพรมแดนที่สามารถขับรถข้ามไปได้

จึงขอฝากเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อกลุ่มปล่อยสินเชื่อหรือหลอกจำนำรถดังกล่าว หากไม่ใช่กลุ่มทุนที่จดทะเบียนถูกต้องหรือเป็นบริษัทที่ถูกกฎหมาย โดยเฉพาะตามสื่อโซเชียลต่างๆ อย่าได้หลงกลเชื่อ.เพราะมิเช่นนั้นก็จะตกเป็นเหยื่อถูกนำรถไปลักลอบขายตามชายแดนก็เป็นได้.-415.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]