“อี้ แทนคุณ” พาผู้เสียหายร้องเอาผิด 2 นายทุน หลอกลงทุนอสังหาฯ

บช.ก. 11 ธ.ค. – “อี้ แทนคุณ” พาผู้เสียหาย ร้องตำรวจสอบสวนกลางเอาผิดสองนายทุน หลอกลงทุนอสังหาฯ เสียหาย 500 ล้านบาท


นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม หรือ “อี้ แทนคุณ” ได้พาผู้เสียหายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

นายแทนคุณ กล่าวว่า มีผู้เสียหายเดินทางมาพบกับตัวเอง 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ หลอกลงทุนในคอนโดอ้างว่าจะเคลียร์เรื่องหนี้ให้ ซึ่งเป็นคอนโดที่มีอยู่จริง แต่การเคลียร์หนี้ไม่มีอยู่จริง เป็นกรณีเดียวกันกับผู้เสียหายที่เข้าร้องกับนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี มีผู้เสียหายบางส่วนก็ได้มาร้องเรียนผ่านตัวเอง จึงนำผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายประมาณ 300 คน ความเสียหายเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท


ลักษณะการหลอกลงทุน คือการที่เข้าถึงข้อมูลเครดิตบูโร หรือเครดิตหนี้ของผู้เสียหาย อ้างว่าจะสามารถเคลียร์หนี้ให้แลกกับเอาเครดิตของผู้เสียหายไปกู้คอนโด ซึ่งผู้เสียหายก็หลงเชื่อ เพราะเป็นบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเอาเครดิตต่างๆ ไปกู้คนละ 1-2 ห้อง จนมารู้ตัวอีกทีก็เป็นหนี้จำนวนมาก จากที่เป็นหนี้เพียงแค่ 1 ล้านบาท ก็กลายเป็นหนี้ 20 ล้านบาท

นายแทนคุณ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 มีผู้เสียหายเดินทางมาจากจังหวัดมหาสารคาม มีนายทุน 2 คน คือ นาย จ. หรือ J และนาย ห. หลอกลงทุนในเรื่องของที่ดิน และบ้าน โดยมีพฤติกรรมหลอกผู้เสียหายว่าให้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยให้ดอกเบี้ย 1.5 และ 2% แต่ผู้เสียหายไม่เคยได้ และให้ผู้เสียหายไปเชิญชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนโดยจะให้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 ซึ่งทั้งสองคนจะเป็นผู้ดำเนินการหลัก และมีผู้ร่วมขบวนการ ตอนนี้มีผู้เสียหายประมาณ 10 กว่าคน มูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีเพิ่มอีก ซึ่งผู้เสียหายเคยเดินทางไปร้องทุกข์ในที่ต่าง ๆ มาแล้วหลายที่ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าทางคดี จึงอยากจะร้องขอความเห็นใจจาก บก.ปอศ. เพราะการกระทำของผู้ก่อเหตุไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

ด้าน น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2562 เพื่อนของตัวเองได้มาชวนว่ามีนาย J กำลังลงทุนสร้างแลนด์มาร์กในจังหวัดมหาสารคามอยู่ และถ้าหากเราไปกู้โดยนำเงินไปให้เขา ๆ ก็จะเอาเงินไปสร้างแลนด์มาร์ก และเขาจะเป็นคนผ่อนหนี้ให้เราทั้งหมดซึ่งจะได้เป็นปันผล 1.5-2% ด้วยความที่เป็นเพื่อนจึงทำให้เธอหลงเชื่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนที่มาชวนให้เธอไปร่วมลงทุนนั้นทราบหรือไม่ว่านาย จ. มีพฤติกรรมหลอกลวง แต่ตอนนี้เพื่อนคนดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในขบวนการนี้ เป็นเหมือนมือขวาของนาย จ. และเป็นคนที่หาคนมาร่วมลงทุน ซึ่งอย่างไรก็จะรอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่


ทั้งนี้ เดิมมีหนี้สินส่วนตัวอยู่ที่ 2 ล้านบาท ทางฝั่งนายทุนอ้างว่าถ้าจะไปลงทุนจะต้องไม่มีภาระ เพราะจะกู้ไม่ผ่าน ทางฝั่งนาย จ. บอกว่าให้ฝั่งผู้เสียหายมากู้กับนาย จ. เขาก็ได้นำเงินสดมาให้โดยคิดดอกเบี้ย 7.5% ซึ่งหลังจากที่ไปกู้ก็ถูกนำเครดิตไปใช้จนทำให้เกิดหนี้เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งหลายคนก็โดนเช่นนี้จนตอนนี้หนี้สินของเธอมีทั้งหมด 38 ล้านบาท และไม่สามารถติดต่อ นาย จ. และพวกได้อีกเลยตั้งแต่เกิดเหตุ

น.ส.เอ ยังบอกอีกว่า นาย จ. เป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในจังหวัดมหาสารคาม ไปไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา ที่ผ่านมายังไม่เคยถูกข่มขู่และตอนนี้ได้มีการไปแจ้งความไว้ในท้องที่เกิดเหตุเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน พร้อมฝากไปถึงนาย จ. ว่าอยากให้ออกมารับผิดชอบ เพราะว่าตอนนี้ทุกคนได้รับความเดือดร้อน อุตส่าห์เชื่อใจ เพราะว่าตอนแรกเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับหนี้ 38 ล้านบาท ยังคงขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน

ขณะที่นายบี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตอนนี้ผู้ที่เสียหายสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท และของตัวเองเริ่มแรกคนที่ชักชวนคือ นาย จ. และนาย ห. ซึ่งเคยทำงานในบริษัทเดียวกัน ซึ่งดูจากพฤติกรรมแล้ว น่าจะเริ่มจากในหมู่เพื่อนก่อน เขาก็บอกว่าถ้าหากเราไปชวนคนมาได้อีกก็จะได้เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเองไม่เคยไปชวนใคร เพราะไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรแบบนั้นก็หวังแค่ว่าผลประโยชน์ที่เราจะได้ ตอนนี้หนี้รวมกับแฟนก็อยู่ที่ประมาณ 38 ล้านบาท และคิดว่าทั้งคู่น่าจะยังอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ช่วงหลังคุยกับเจ้าหน้าที่ก็พบว่ามีผู้เสียหายนอกกลุ่มอีกแต่ไม่ทราบว่ามีกี่คน แต่เท่าที่ทราบมูลค่าความเสียหายรวมรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท โดยนายบี ยอมรับว่าเป็นกังวลเพราะเกรงว่านาย จ. น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลและมีคนรู้จักเยอะ เลยกลัวว่าจะไม่ได้ความเป็นธรรม. -419-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

พายุในทะเลจีนใต้ ส่อแรงขึ้นเป็นโซนร้อน ทำฝนเพิ่มระยะนี้

กรุงเทพฯ 18 ก.ย.-กรมอุตุฯ เตือนพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน แม้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ส่งผลให้ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นพาดผ่านตอนกลางประเทศ ทำให้ไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และบางพื้นที่อาจมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ย้ำจะมีฝนตกต่อเนื่องถึงต้นเดือนตุลาคม นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศเปิดเผยว่า พายุลูกดังกล่าวมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 19.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 120.0 องศาตะวันออก บริเวณประเทศฟิลิปปินส์ เคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนแล้วในช่วงเช้าวันนี้ (18 ก.ย.) โดยมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศเหนือค่อนตะวันตกเล็กน้อย ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า จะขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 19–20 กันยายน 2568 ทั้งนี้แม้พายุไม่ได้เข้าไทยโดยตรง แต่จากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ จะดันให้ร่องมรสุมเลื่อนขึ้นพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบมีมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมากในช่วงวันที่ 18–25 กันยายนนี้ พื้นที่ที่มีแนวโน้มฝนตกสะสมในระดับเสี่ยง ได้แก่ จังหวัดอำนาจเจริญ อุบลราชธานี จันทบุรี และตราด ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ลาดเชิงเขา ใกล้ทางน้ำไหลผ่าน […]

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]