ตร.ประชุมคดี 7 ตำรวจรุมทำร้ายผิดตัว เร่งทำสำนวนส่ง ป.ป.ช.ใน 30 วัน

สน.บางเขน 9 ธ.ค. – รอง ผบก.น.2 ประชุมคืบหน้า 7 ตำรวจรุมทำร้ายผิดตัว เร่งทำสำนวนส่ง ป.ป.ช.ใน 30 วัน หารือร่วมอัยการพิจารณาความผิดเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.อุ้มหายหรือไม่


เมื่อเวลา 09.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรได้ตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนประเสริฐมนูกิจ ได้รุมทำร้ายร่างกายประชาชน หลังเข้าใจผิดว่าแหกด่านจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. เวลาประมาณ 01.40 น. ว่า ในวันนี้ทางตำรวจที่ทำคดีได้ทยอยเดินทางมาประชุมติดตามความคืบหน้าของคดีที่ 7 ตำรวจ ที่รุมกระทืบผู้เสียหายที่เป็นลูกนายตำรวจ โดยได้ประชุมที่ห้องประชุม ศปก.สน.บางเขน ชั้น 2 มีพ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 (รอง ผบก.น.2) เป็นประธานการประชุม

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวภายหลังการประชุมนาน 2 ชั่วโมง ว่า ตั้งแต่รับแจ้งเหตุวันที่ 4 ธ.ค.67 เวลาประมาณ 05.00 น โดยเหตุเกิดตั้งแต่เวลา 01.40 น. พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานโดยได้สอบสวนปากคำพ่อแม่และน้องสาวของผู้บาดเจ็บประกอบสำนวนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นตำรวจฝ่ายสืบสวนได้ทำการไล่กล้องวงจรปิดซึ่งเป็นกล้องของกรุงเทพมหานคร ได้มีการไล่กล้องวงจรปิดตั้งแต่วันแรกในบริเวณจุดที่มีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งได้ภาพเรียบร้อยแล้วว่ามีการตั้งด่านจริง และมีรถได้ขับติดตามไปจริง ส่วนจุดเกิดเหตุตำรวจบางเขนได้ค้นหาแล้วแต่ไม่พบจนกระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ตำรวจ สน.บางเขน ได้ประสานไปยังน้องสาวและพ่อของผู้บาดเจ็บให้มาชี้จุดเกิดเหตุและหาภาพกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดีของพนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้วเพื่อพิจารณาความผิดของผู้ต้องหา


พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า หลังจากนั้นได้มีการสอบสวน ผู้บาดเจ็บ ได้ให้การสอดคล้องกับกล้องวงจรปิดจากภาพข่าวพฤติกรรมของผู้ต้องหา ได้กระทำความผิดจึงได้เรียกตัว ผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย มาแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อย ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย และข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ทางคณะกรรมการได้มีการประชุมการและมีการปรึกษาผู้บังคับบัญชา รวมถึงพนักงานอัยการว่าพฤติการณ์ของผู้ต้องหาที่กระทำการแบบนี้จะเข้าข่าย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ “พ.ร.บ.อุ้มหาย” หรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วเข้าข่าย ในความผิดตามมาตรา 6 เป็นเจ้าพนักงานทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหายหรือบาดเจ็บ หลังจากนี้จะทำหนังสือไปถึงอัยการ เพื่อมาร่วมทำการสอบสวนในประเด็นนี้ หากสอบสวนแล้วปรากฏว่าเป็นความผิด จะเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์ที่แหกด่านแล้วหลบหนีไป เมื่อพิจารณาแล้วมีพฤติการณ์ตั้งแต่ตอนต้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกตรวจสอบเบื้องต้นแล้วสงสัยว่าจะดื่มสุรามาในขณะขับรถจึงได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีแอลกอฮอล์ในร่างกาย จึงสั่งให้ผู้ขับขี่ ขับรถชิดซ้ายเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแต่ผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ตรวจจึงได้ขับรถหลบหนีและชนด่านก่อนหลบหนีไป พฤติการณ์การกระทำต่าง ๆ ของผู้ขับขี่ พิจารณาแล้วเป็นความผิดในข้อหาเมาสุราในขณะขับรถ, ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ที่ให้ขับรถชิดซ้ายแต่ไม่ดำเนินการ และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จะเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหาในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งคาดว่าผู้ขับขี่จะให้การรับสารภาพ

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 7 ที่ได้กระทำความผิด จะส่งให้ ป.ป.ช.ก่อนเพื่อพิจารณา ว่าทาง ป.ป.ช.จะดำเนินการเองหรือจะคืนกลับมาให้ตำรวจดำเนินการสอบสวนต่อไป ทั้งนี้ในส่วนของตำรวจเมื่อได้รับแจ้งเหตุจะทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้น ภายใน 30 วัน และส่งสำนวนให้กับทางป.ป.ช. ส่วนทาง ป.ป.ช.จะดำเนินการเร็วแค่ไหนไม่อาจก้าวล่วงได้


ส่วนมาตรการในการตั้งด่านหลังจากนี้มีนโยบายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีนโยบายอยู่แล้วให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่มีหนังสือสั่งการเรียบร้อย หากเกิดความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่แล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็จะมีความผิดทางวินัยอยู่แล้ว ส่วนความผิดที่เกิดขึ้นหากไปกระทบต่อประชาชน หรือได้รับความเสียหายก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง

พ.ต.อ.ธิติพงศ์ กล่าวว่า หลังทราบว่าผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีหนังสือแจ้งไปยังต้นสังกัด ว่าตำรวจมีพฤติการณ์ อย่างไร เพื่อให้ยืนยันตัวบุคคล ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดบ้าง และขอให้ส่งภาพถ่ายจากวีดีโอที่ติดอยู่ที่เสื้อ ของตำรวจมาประกอบสำนวนคดีด้วย ซึ่งทางกองบังคับการตำรวจจราจรรับทราบแล้ว ทั้งนี้ เบื้องต้นยังไม่ได้มีการส่งมา แต่ได้มีการประสานงานกันแล้วว่าจะมีการนำภาพกล้องมาส่งให้เรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายจากกล้องวีดีโอที่ติดอยู่ที่เสื้อของตำรวจเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของพยานหลักฐาน แต่ยืนยันว่าพยานหลักฐานกล้องวงจรปิดและคำให้การของผู้เสียหายกับครอบครัวของผู้เสียหายครบถ้วนเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 7 นายแล้ว

ผู้สื่อข่าวจึงตั้งข้อสังเกตว่ากล้องตัวนี้อาจจะมีการบันทึกบทสนทนาได้ดีกว่ากล้องวงจรปิดหากยังไม่ได้พยานหลักฐานส่วนนี้ จะทำให้คดีคลาดเคลื่อนหรือไม่ พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ยืนยันว่าไม่มีผลใดๆ เพราะทางตำรวจมีพยานหลักฐานด้านอื่นๆ ครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ไม่กังวลว่ากล้องจะมีปัญหาว่าเสีย เพราะกล้องดังกล่าวนั้นมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่สาระสำคัญ ส่วนการเยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บ และเกิดความเสียหายเบื้องต้นจะมีค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้ ได้มีการสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว 2 ครั้งที่โรงพยาบาล หลังจากนี้หากผู้บาดเจ็บออกจากโรงพยาบาลแล้วจะรอสอบปากคำเพิ่มเติ่มอย่างละเอียดอีกครั้ง และจะแจ้งสิทธิให้กับผู้เสียหายที่จะได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บหากจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายก็ขึ้นอยู่กับผู้เสียหายว่าจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้กระทำความผิดทางแพ่งอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหา 7 ราย ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้วโดยผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธ โดยจะนำคำให้การอย่างละเอียดส่งมอบเป็นหนังสือภายใน 7 วัน และหลังจากนี้ได้มีการนัดหมายให้ผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ได้เข้ามาพบกับทางพนักงานสอบสวนตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติม.-419- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

พิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.7 ประดิษฐานหน้าอาคารรัฐสภา

รัฐสภา 20 ก.ย.- รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) ประดิษฐานหน้าอาคาร ขนาดใหญ่กว่าพระองค์จริง 4 เท่า เมื่อเวลา 08.00 น. รัฐสภา จัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (องค์ใหม่) เพื่อประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา (ถนนสามเสน) โดยมีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 เป็นประธานในพิธี นอกจากนี้ยังมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. นายชวนหลีก หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปปัตย์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่านพรรคเพื่อไทย น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ สส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และประธานกรรมการ บมจ.อสมท รวมถึงข้าราชการรัฐสภา ร่วมพิธีด้วย โดยนายไชยาและพล.อ.สวัสดิ์ ถวายพวงมาลัยและโปรยดอกไม้ที่พระบาทของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จากนั้นปักธูปที่เครื่องบวงสรางพร้อมโปรยดอกไม้ จากนั้นนายฉัตรชัย ปิ่นเงิน หัวหน้าโหรพราหมณ์ สำนักพระราชวัง อ่านโองการจากนั้นเชิญประธานในพิธีโปรยดอกไม้ที่โต๊ะเครื่องบวงสรวง วางพานประดับพุ่มดอกไม้ และจุด ธูป เทียน […]

อุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนถล่ม ระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก

กทม. 20 ก.ย.- กรมอุตุฯ เตือน 9 จังหวัดรับมือฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง สำหรับบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง อนึ่ง พายุโซนร้อน “มิแทก” บริเวณทะเลมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและสลายตัวอย่างรวดเร็ว ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย -สำนักข่าวไทย

สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” ปมร้องเรียนทุจริตเงินวัด-พัวพัน 3 สีกา

19 ก.ย. – สึกแล้ว “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง” และเดินทางออกจากวัดทันที หลังก่อนหน้านี้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับทุจริตเงินวัด และพัวพัน 3 สีกา เป็นภาพเอกสารที่พระธรรมสุธี เจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ส่งไปยังเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เพื่อชี้แจงกรณีของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง พร้อมแนบภาพถ่ายการลาสิกขาของผู้ช่วยเจ้าอาวาส เอกสารระบุข้อความว่า “ตามที่มีประเด็นปรากฏในสื่อออนไลน์ และสื่อต่างๆ เกี่ยวข้องกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหัวลำโพง ทางวัดหัวลำโพง ขอชี้แจงตามประเด็นดังต่อไปนี้ 1.กรณีพฤติกรรมชู้สาวของพระครูปริยัติวัฒนกิจ ทางวัดยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนบุคคล2.กรณียักยอกงินวัดนั้น ทางวัดขอชี้แจงว่า ยังไม่พบหรือปรากฏหลักฐาน เนื่องจากหน้าที่ของพระครูปริยัติวัฒนกิจ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฌาปนสถานวัดหัวลำโพง มีหน้าที่ประสานงานกับเจ้าภาพที่มาติดต่อเกี่ยวกับการจองศาลาบำเพ็ญกุศล อีกทั้งฌาปนสถานวัดหัวลำโพง ประกอบด้วยกรรมการบริหารจำนวน 5 รูป โดยมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน และมีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายในส่วนฌาปนสถานของวัดมาโดยตลอด 3.กรณีลาสิกขา ทางพระครูปริยัติวัฒนกิจ แจ้งความประสงค์ลาสิกขาด้วยความสมัครใจ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของวัด และศรัทธาของสาธุชน โดยลาสิกขา 18 ก.ย. 2568 เวลา 19.10 น. และเดินทางออกจากวัดทันที ย้อนดูคำชี้แจง “อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ”ย้อนดูคำชี้แจงจากปากของอดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ ก่อนหน้านี้ที่ทีมข่าวได้พูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ สำหรับเรื่องทุจริตเงินวัด อดีตพระครูปริยัติวัฒนกิจ บอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ปกติหน้าที่เกี่ยวข้องกับเงินของตนเอง […]

เบื้องหลังละครกัมพูชา

สระแก้ว 19 ก.ย. – ชาวกัมพูชาที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ยังไม่รามือ หลังพบความพยายามรวบรวมฝูงชนจากพื้นที่อื่น เข้ามาสร้างสถานการณ์ยึดดินแดนไทย อาจมีเบื้องหลังเป็นข้าราชการกัมพูชา-นายทุนต่างชาติ.-สำนักข่าวไทย