บก.ป. 18 พ.ย. – ตำรวจเชิญ “ปานเทพ” ให้ข้อมูลในฐานะพยานคดี “ทนายตั้ม” เพิ่ม พบแบ่งเงิน 39 ล้านบาท ให้ใครบ้าง รวมถึงพบมีขบวนการทำพินัยกรรม “มาดามอ้อย” โดยมี “ทนายตั้ม” เป็นผู้จัดการมรดก เตรียมเปิดหลักฐานในรายการสนธิทอล์ค
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ มาดามอ้อย แจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความกับพวก ในข้อหาฉ้อโกง พร้อมกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตนเองให้มาเป็นพยานในฐานะผู้ที่รับเรื่องร้องทุกข์จาก น.ส.จตุพร ตนเองเดินทางมาวันนี้ในฐานะสื่อมวลชนที่เป็นพยานในเหตุการณ์ โดยวันนี้ทางมาดามอ้อย และคณะได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และเพื่อฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้การสนับสนุนในการทำข่าวเรื่องนี้ นอกจากนี้ได้มีการสัมภาษณ์เพิ่มเติม ซึ่งจากนี้จะมีการปล่อยคลิปออกมาต่อเนื่อง
นายปานเทพ กล่าวต่อว่าในส่วนคดีฉ้อโกงเงินมูลค่า 39 ล้านบาท ตนเองเชื่อว่ามีความคืบหน้าแห่งคดีอย่างแน่นอน มีความชัดเจนแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาแบ่งเงินกันอย่างไร ในขณะนี้ตัวมาดามอ้อย และตำรวจได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว
อีกหนึ่งประเด็นที่สังคมสงสัย คือกรณีที่ทนายตั้มพยายามให้มาดามอ้อย รับลูกชายของตัวเองเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งพบว่าแท้ที่จริงแล้วเมื่อปี 2565-2566 มีการทำพินัยกรรมอยู่ 2 ครั้ง เป็นทรัพย์สินของมาดามอ้อยในต่างประเทศทั้งหมด และยังพบว่าทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก แต่ครั้งที่ 2 มีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมโดยมีทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก และในปีนี้มาดามอ้อยได้พบพิรุธจึงทำพินัยกรรมฉบับใหม่ขึ้นมากับหน่วยงานราชการ แต่ทนายตั้มยังไม่คืนพินัยกรรมฉบับที่ตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก โดยอ้างว่าได้ทำลายพินัยกรรมฉบับนั้นแล้ว แต่ไม่เคยทำลายต่อหน้ามาดามอ้อยเลย ซึ่งสิ่งนี้ตนเชื่อว่าทั้งหมดจะประกอบเป็นรูปคดีให้มีความแน่นหนาและแข็งแรงมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบอีกมีขบวนการอื่น ๆ ตามมาหลังจากนั้นอีก เช่น การติด GPS ที่รถเบนซ์ของมาดามอ้อย และพาไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณ ทำให้มาดามอ้อย รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังเชื่อว่าพยานปากสำคัญในคดีนี้คือพี่สาวของภรรยาทนายตั้ม ซึ่งเข้าให้การกับตำรวจแล้ว โดยตนเชื่อว่าพี่สาวของภรรยาทนายตั้มอาจไม่ใช่คนสมรู้ร่วมคิดในการกระทำของทนายตั้ม แต่เชื่อว่าอาจจะเป็นแหล่งพักเงิน หรือทำธุรกรรมบางอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นพยานปากสำคัญที่จะให้ข้อเท็จจริงและให้การเป็นประโยชน์ และเชื่อว่าพยานปากนี้จะไม่บิดเบือนคดีเพื่อช่วยเหลือใคร
ส่วนวันนี้มาดามอ้อย ได้เดินทางไปที่บ้านพระอาทิตย์เป็นครั้งที่ 3 เพื่อไปขอบคุณนายสนธิ โดยระบุมีความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม รวมถึงมั่นใจในพยานหลักฐาน พร้อมฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกสังกัดที่ทำข่าวนี้ รวมถึงขอบคุณประชาชนที่คอยให้กำลังใจ ซึ่งมาดามรับรู้ได้ ส่วนตอนนี้มาดามอ้อยอยู่ในสถานภาพที่ต้องระวังตัว เพราะไปที่ไหนก็มีคนรู้จัก จึงต้องเก็บตัวเพื่อความปลอดภัย. -420-สำนักข่าวไทย