ลุยค้น 9 จุด “ดิไอคอนกรุ๊ป” เร่งหาหลักฐานโยงเอาผิด

12 ต.ค.- รองผบช.ก. เผยผลปฏิบัติการตรวจค้น 9 จุด “ดิไอคอนกรุ๊ป” และบริษัทในเครือ เร่งหาหลักฐานโยงเอาผิด หลังยอดผู้เสียหายพุ่งเกือบ 500 ราย ความเสียหาย 178 ล้านบาท


พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัดว่า วันนี้ได้มีประชาชนมาแจ้งความ 235 ราย ยอดรวมในรอบ 3 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมถึงปัจจุบัน มียอดรวมผู้เสียหาย 488 ราย มูลค่าความเสียหาย 178 ล้านบาท วันนี้ได้ขอศาลอาญาออกหมายค้น เพื่อเข้าตรวจค้นบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และบริษัทในเครือ รวมทั้งโกดังสินค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 9 จุด ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจค้น

ขณะเดียวกันนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และอีกหลายคนได้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำที่ บก.ปคบ.


พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ฝากประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนที่จะเดินทางมาแจ้งความ กรณีที่อยู่ต่างจังหวัดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีวิทยุสั่งการด่วนถึงที่สุดให้พนักงานสอบสวนทั่วประเทศทุกท้องที่รับแจ้งความ ส่วนประเด็นการสอบสวนได้ส่งให้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่แล้ว สำหรับประชาชนที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สามารถไปแจ้งความได้ที่ตำรวจท้องที่ที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ที่ บช.ก. ในแต่ละวันได้จัดพนักงานสอบสวนไว้รองรับจำนวน 70 นาย พร้อมจัดอาหารว่างเครื่องดื่มไว้รองรับให้กับประชาชนที่เข้ามาแจ้งความ

พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งได้สอบพยานบุคคล และคำให้การในส่วนนี้ต้องมีรายละเอียดที่ต้องเชื่อมโยงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งพยานวัตถุและพยานเอกสาร ซึ่งผู้เสียหายต่างๆ รู้จักเพียงชื่อเล่น ทางพนักงานสอบสวนจะต้องแสวงหาข้อมูล เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนทุกมิติ

อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, สคบ., ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีข้อกำชับสั่งการให้ทำคดีให้รวดเร็ว และได้พูดคุยหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง จากกระทรวงการคลัง ซึ่งดูแลในเรื่องพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือแชร์ลูกโซ่ เข้ามาให้แนวทางกับทางตำรวจ อย่างไรก็ตามทางดีเอสไอได้ให้พนักงานสอบสวนของดีเอสไอดำเนินการในเชิงรุกสอบสวนควบคู่ไปกับตำรวจด้วย


สำหรับเกณฑ์ที่สำนวนจะเข้าสู่ดีเอสไอหรือไม่นั้น พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่าทางดีเอสไอมีการดำเนินการอย่างเชิงรุก และทำการประสานกับทางตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งวันนี้ก็มีการส่งเจ้าหน้าที่มาทำงานร่วมกับทางตำรวจด้วย

เมื่อถามว่าออกหมายจับได้หรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า จะต้องรีบดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง และหาพยานหลักฐานให้ครบถ้วนให้รอบด้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ สำหรับการเข้าตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เจ้าหน้าที่ได้ดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท และตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญของพนักงานสอบสวนมาช่วยดูเรื่องนี้ ทั้งนี้พยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้นในวันนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนำมาประกอบกับคำให้การของผู้เสียหายทั้งหมด ซึ่งได้มีการแยกประเภทของผู้เสียหายเพราะมีพฤติกรรมที่อาจจะเสียเงินไปไม่เท่ากันตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน โดยบางรายได้รับโปรโมชันในการไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศด้วย จะต้องนำมาพิจารณา

ส่วนกรณีที่นายวรัตน์พล ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนก่อน ตามขั้นตอนพนักงานสอบสวนจะต้องมีการซักถาม ชื่อนามสกุล ถิ่นที่อยู่ และต้องแจ้งรายละเอียดที่ผู้เสียหายได้มีการกล่าวโทษให้นายวรัตน์พล ทราบ เมื่อทำตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมายเสร็จสิ้น จะมีการปล่อยตัว เมื่อถามว่าหากปล่อยไปอาจจะมีการหลบหนีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า เนื่องจากยังไม่พบพฤติการณ์ว่าจะมีการหลบหนี

ส่วนเรื่องการออกหมายจับกับผู้บริหารของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และดาราคนอื่นที่เกี่ยวข้อง พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ตอนนี้ผู้บริหารที่ถูกกล่าวหา คือ บอสพอล ที่เข้าข่ายความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งการออกหมายจับในตอนนี้ยังทำไม่ได้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารโดยเฉพาะการสอบปากคำผู้เสียหายรายบุคคล ซึ่งแต่คนมีพฤติการณ์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามจะหาหลักฐานที่เป็นเอกสารเชื่อมโยงของบริษัทฯ เพื่อนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหากับผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ทยอยเข้าพบพนักงานสอบสวนในตอนนี้ ยังไม่เข้าข่ายความผิดใด และยังไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ทางพนักงานสอบสวนยังตรวจพบว่ามีบุคคลของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป บางรายมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีกด้วย

ส่วนกรณีที่ผู้บริหาร ดิไอคอน กรุ๊ป เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ก่อนถูกออกหมายเรียกนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคหนึ่ง เมื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน จึงไม่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานก่อนถึงจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป

ส่วนที่มีการเพ่งเล็งว่าบอสพอล เป็นคนไทยหรือไม่นั้น ในส่วนนี้จะต้องมีการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปดูรายละเอียดที่มาของบัตรประชาชนของเจ้าตัว และในส่วนที่มีกระแสข่าวว่า บัตรประชาชนของบอสพอลมีเลข 5 นำหน้า จะต้องไปถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ออกมาชี้แจงในกรณีนี้

เมื่อถามว่าหากปล่อยตัวไปผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไม่ จะสามารถขอหนังสือเดินทางไว้เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะให้เอกสารดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่พบพฤติการณ์ในการหลบหนี .419.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เฝ้าระวังตลอดคืน พบโดรนปริศนาบินล้ำเขตแดนอรัญฯ

สระแก้ว 3 ส.ค.- พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนจากกัมพูชาเข้ามาในไทย ชาวบ้าน-ชรบ.ในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เฝ้าระวังตลอดทั้งคืน คืนที่ผ่านมา เวลา 21.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยจุดที่ทีมข่าวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียง 2 กิโลเมตร บรรยากาศในพื้นที่ขณะนั้นมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกมาคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับแจ้งว่าอาจมีโดรนปริศนาเข้ามาในพื้นที่ ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ พบโดรนลำหนึ่งบินเข้ามาจากเขตชายแดนฝั่งกัมพูชา ล้ำเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยลึกประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่โดรนลำนั้นลอยอยู่เหนือพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลต์กำลังแรงสูงร่วมกับแสงเลเซอร์จากอุปกรณ์ของทหาร ส่องไปยังโดรนปริศนาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นลำตัวของโดรนแม้อยู่ในความมืด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยว่าโดรนลำนั้นมีเป้าหมายใดหรือเป็นของฝ่ายใด ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงเพิ่มมาตรการตรวจตราและเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดหรือภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ -สำนักข่าวไทย

เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ

3 ส.ค. – เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ ห้วงปะทะวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ (3 ส.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา ทหารได้ทำลายบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ ซึ่งสามารถขึ้นมาถึงภูมะเขือได้ หลังทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ภูมะเขือ ผลักดันทหารกัมพูชาอยู่บนจะงอยหน้าผาออกไปทั้งหมด พร้อมทำลายกระเช้า และฐานทหารกัมพูชาด้านล่างภูมะเขือ โดยการใช้โดรนติดระเบิด ล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพทหารทำลายบันไดช่องคานม้า ในระหว่างยึดพื้นที่ได้จากการเหตุปะทะช่วง 5 วันที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย

ชาวเชียงใหม่ร่วมจุดเทียนสดุดี 15 วีรบุรุษชายแดน

3 ส.ค.- ชาวเชียงใหม่ ร่วมกันจุดเทียน แสดงความไว้อาลัย สดุดี 15 วีรบุรุษทหารที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ หน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตัวเมืองเชียงใหม่ ประชาชนได้รวมตัวทำกิจกรรมร้องเพลง เขียนข้อความ พร้อมโบกธงชาติไทย เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการสดุดีทหาร 15 นายที่พลีชีพในการสู้รบปกป้องอธิปไตย อีกทั้งอ่านรายชื่อทหาร วางพวงหรีดและจุดเทียน แสดงความไว้อาลัยพร้อมทั้งยืนสงบนิ่ง อธิฐานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปลอดภัยทุกนาย นอกจากนี้ บริเวณย่านถนนท่าแพ หน้าอาคารพุทธสถานเชียงใหม่ มีการนำภาพทหารที่เสียชีวิตทั้ง 15 นายติดไว้ริมถนนและมีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชน มาวางดอกไม้ แสดงความอาลัย -สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ อีสาน เข้มโดรน-จับตาสถานที่สำคัญ

3 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ จังหวัดอีสาน เข้มมาตรการกำจัดโดรน สั่งจับตาสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด-คลังอาวุธ-สถานีขนส่ง บูรณาการตำรวจจับผู้ก่อเหตุ ดำเนินคดีข้อหาหนัก “ก่อการร้าย-ไส้ศึก” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดภาคอีสาน ผ่านระบบ VTC เรื่องมาตรการกำจัดโดรน โดยให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัด ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.จังหวัด ให้แต่ละหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคเอกชน ประชาชน จัดหาเครื่องแอนตี้โดรน ป้องกันจังหวัดของตัวเอง โดยเฉพาะเพ่งเล็งในพื้นที่สำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สนามกีฬา คลังอาวุธ สถานีตำรวจ สถานีขนส่ง และสนามบิน นอกจากนี้ให้มีการจัดชุดลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากสามารถควบคุมตัวได้ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดในทุกประเด็น เช่น ก่อการร้าย ไส้ศึก โดยโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต คงต้องไปดูข้อกฎหมาย ทั้งนี้ได้กำชับห้ามปล่อยตัวง่ายๆ ต้องตรวจสอบไปถึงต้นตอ […]