ลุยค้น 9 จุด “ดิไอคอนกรุ๊ป” เร่งหาหลักฐานโยงเอาผิด

12 ต.ค.- รองผบช.ก. เผยผลปฏิบัติการตรวจค้น 9 จุด “ดิไอคอนกรุ๊ป” และบริษัทในเครือ เร่งหาหลักฐานโยงเอาผิด หลังยอดผู้เสียหายพุ่งเกือบ 500 ราย ความเสียหาย 178 ล้านบาท


พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัดว่า วันนี้ได้มีประชาชนมาแจ้งความ 235 ราย ยอดรวมในรอบ 3 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมถึงปัจจุบัน มียอดรวมผู้เสียหาย 488 ราย มูลค่าความเสียหาย 178 ล้านบาท วันนี้ได้ขอศาลอาญาออกหมายค้น เพื่อเข้าตรวจค้นบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และบริษัทในเครือ รวมทั้งโกดังสินค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 9 จุด ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจค้น

ขณะเดียวกันนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และอีกหลายคนได้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบปากคำที่ บก.ปคบ.


พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ฝากประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนที่จะเดินทางมาแจ้งความ กรณีที่อยู่ต่างจังหวัดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีวิทยุสั่งการด่วนถึงที่สุดให้พนักงานสอบสวนทั่วประเทศทุกท้องที่รับแจ้งความ ส่วนประเด็นการสอบสวนได้ส่งให้พนักงานสอบสวนทุกท้องที่แล้ว สำหรับประชาชนที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สามารถไปแจ้งความได้ที่ตำรวจท้องที่ที่ใกล้ที่สุด ทั้งนี้ที่ บช.ก. ในแต่ละวันได้จัดพนักงานสอบสวนไว้รองรับจำนวน 70 นาย พร้อมจัดอาหารว่างเครื่องดื่มไว้รองรับให้กับประชาชนที่เข้ามาแจ้งความ

พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งได้สอบพยานบุคคล และคำให้การในส่วนนี้ต้องมีรายละเอียดที่ต้องเชื่อมโยงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทั้งพยานวัตถุและพยานเอกสาร ซึ่งผู้เสียหายต่างๆ รู้จักเพียงชื่อเล่น ทางพนักงานสอบสวนจะต้องแสวงหาข้อมูล เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนทุกมิติ

อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, สคบ., ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีข้อกำชับสั่งการให้ทำคดีให้รวดเร็ว และได้พูดคุยหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง จากกระทรวงการคลัง ซึ่งดูแลในเรื่องพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือแชร์ลูกโซ่ เข้ามาให้แนวทางกับทางตำรวจ อย่างไรก็ตามทางดีเอสไอได้ให้พนักงานสอบสวนของดีเอสไอดำเนินการในเชิงรุกสอบสวนควบคู่ไปกับตำรวจด้วย


สำหรับเกณฑ์ที่สำนวนจะเข้าสู่ดีเอสไอหรือไม่นั้น พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่าทางดีเอสไอมีการดำเนินการอย่างเชิงรุก และทำการประสานกับทางตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งวันนี้ก็มีการส่งเจ้าหน้าที่มาทำงานร่วมกับทางตำรวจด้วย

เมื่อถามว่าออกหมายจับได้หรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า จะต้องรีบดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง และหาพยานหลักฐานให้ครบถ้วนให้รอบด้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ สำหรับการเข้าตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เจ้าหน้าที่ได้ดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท และตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญของพนักงานสอบสวนมาช่วยดูเรื่องนี้ ทั้งนี้พยานหลักฐานที่ได้จากการตรวจค้นในวันนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนำมาประกอบกับคำให้การของผู้เสียหายทั้งหมด ซึ่งได้มีการแยกประเภทของผู้เสียหายเพราะมีพฤติกรรมที่อาจจะเสียเงินไปไม่เท่ากันตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน โดยบางรายได้รับโปรโมชันในการไปท่องเที่ยวที่ต่างประเทศด้วย จะต้องนำมาพิจารณา

ส่วนกรณีที่นายวรัตน์พล ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนก่อน ตามขั้นตอนพนักงานสอบสวนจะต้องมีการซักถาม ชื่อนามสกุล ถิ่นที่อยู่ และต้องแจ้งรายละเอียดที่ผู้เสียหายได้มีการกล่าวโทษให้นายวรัตน์พล ทราบ เมื่อทำตามขั้นตอนกระบวนการกฎหมายเสร็จสิ้น จะมีการปล่อยตัว เมื่อถามว่าหากปล่อยไปอาจจะมีการหลบหนีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า เนื่องจากยังไม่พบพฤติการณ์ว่าจะมีการหลบหนี

ส่วนเรื่องการออกหมายจับกับผู้บริหารของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และดาราคนอื่นที่เกี่ยวข้อง พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ตอนนี้ผู้บริหารที่ถูกกล่าวหา คือ บอสพอล ที่เข้าข่ายความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งการออกหมายจับในตอนนี้ยังทำไม่ได้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารโดยเฉพาะการสอบปากคำผู้เสียหายรายบุคคล ซึ่งแต่คนมีพฤติการณ์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพยายามจะหาหลักฐานที่เป็นเอกสารเชื่อมโยงของบริษัทฯ เพื่อนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหากับผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่ทยอยเข้าพบพนักงานสอบสวนในตอนนี้ ยังไม่เข้าข่ายความผิดใด และยังไม่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ทางพนักงานสอบสวนยังตรวจพบว่ามีบุคคลของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป บางรายมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อีกด้วย

ส่วนกรณีที่ผู้บริหาร ดิไอคอน กรุ๊ป เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน ก่อนถูกออกหมายเรียกนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคหนึ่ง เมื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน จึงไม่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ ต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานก่อนถึงจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป

ส่วนที่มีการเพ่งเล็งว่าบอสพอล เป็นคนไทยหรือไม่นั้น ในส่วนนี้จะต้องมีการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปดูรายละเอียดที่มาของบัตรประชาชนของเจ้าตัว และในส่วนที่มีกระแสข่าวว่า บัตรประชาชนของบอสพอลมีเลข 5 นำหน้า จะต้องไปถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ออกมาชี้แจงในกรณีนี้

เมื่อถามว่าหากปล่อยตัวไปผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไม่ จะสามารถขอหนังสือเดินทางไว้เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไม่ พล.ต.ต.โสภณ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะให้เอกสารดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากในขณะนี้ยังไม่พบพฤติการณ์ในการหลบหนี .419.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]