กรุงเทพฯ 17 ก.ย. – “พล.ต.อ.สราวุฒิ” เผยเป็นสิทธิ “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นขอความเป็นธรรมนายกฯ แต่ไม่เกี่ยว คกก.สอบวินัย ระบุ “บิ๊กโจ๊ก” ขอขยายเวลาสอบเพิ่ม อ้างมีพยานและเอกสารจำนวนมาก ชี้มีแนวโน้มเสร็จทันก่อนเกษียณ ย้ำรอบคอบ เป็นธรรม
พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีถูกกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง จากเหตุต้องคดีอาญาในความผิดสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อฟอกเงิน, สมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน อันเกี่ยวเนื่องจากการสืบสวนสอบสวนคดีเว็บออนไลน์ในพื้นที่ สน.เตาปูน เปิดเผยกรณีมีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ได้ร้องขอความเป็นธรรมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แต่ยืนยันว่าเป็นคนละส่วนกันกับที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่มีตนเองเป็นประธานฯ ดำเนินการอยู่ไม่เกี่ยวกัน และไม่จำเป็นต้องนำมาพิจารณา เพราะคณะกรรมการฯ ทำไปตามกรอบและหน้าที่
ส่วนความคืบหน้าการสอบสวนของคณะกรรมการนั้น หลังจากมีการแจ้งข้อกล่าวหาแบบลายลักษณ์อักษรไปให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ทราบแล้ว อยู่ในกระบวนการที่ผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง อาจจะมีการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรที่อ้างว่ามีพยานอีกกี่ปาก หลังจากนั้นทางคณะกรรมการฯ จะนำบุคคลที่อ้างอิงมาทำการสอบสวน จากนั้นคณะกรรมการฯ จะพิจารณาว่าเนื้อหาสาระของผู้ถูกกล่าวหาที่พยานให้การมีมากน้อยขนาดไหน จากนั้นคณะกรรมการฯ ก็จะมีการนัดประชุมและมีมติออกมาว่าจะเรียกเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อไหร่
พร้อมระบุหลังจากที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยกำหนดกรอบเวลา 15 วัน เมื่อครบเวลาแล้ว ทาง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ก็ได้ทำหนังสือแจ้งมาขอขยายเวลาต่อ อ้างว่ารายละเอียดที่ต้องชี้แจงมีจำนวนมาก ซึ่งตนเองพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อความเป็นธรรมจึงให้ขยายเวลาเพิ่ม ส่วนจะขยายเวลาอีกกี่วันขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ จะพิจารณาว่าเหมาะสมกี่วัน โดยคาดว่าจะมีการหารือกันภายในสัปดาห์นี้
ส่วนพยานที่เข้าปากคำเรื่องเส้นทางการเงิน จะหักล้างข้อกล่าวหาได้หรือไม่ ยังพูดไม่ได้ แต่ยืนยันว่าตนเองในฐานะประธานฯ จะให้ความเป็นธรรมเพื่อตัวของคณะกรรมการฯ ที่อาจจะมีการฟ้องร้องตามมา ดังนั้นคณะกรรมการฯ ทุกคนต้องทำด้วยความรอบคอบ ซึ่งตนเองย้ำอยู่ 3 ข้อคือ ยึดระเบียบวินัย ข้อกฎหมายและความเป็นธรรม
พล.ต.อ.สราวุฒิ กล่าวยอมรับว่ามีแนวโน้มว่าคณะกรรมการฯ จะดำเนินการเสร็จทันก่อนที่ตนเองจะเกษียณอายุราชการ แต่หากไม่ทัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็จะต้องมีการแต่งตั้งประธานและคณะกรรมการขึ้นมาใหม่ เพื่อมาดำเนินการพิจารณาต่อจากคณะกรรมการฯ ชุดของตนเอง ไม่ใช่การมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าทันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานของผู้ถูกกล่าวว่ามีพยานอ้างอิงมาเสนอมากน้อยแค่ไหนจึงยังไม่ตอบไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าคณะกรรมการฯ ชุดที่ตนเองเป็นประธานมีความรู้ความสามารถและเชื่อว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีความสมบูรณ์แน่นอน.-412-สำนักข่าวไทย