“แม่โยโกะ” มอบหลักฐาน DSI เชื่อมีการจัดฉากวางแผนฆาตกรรมลูกสาว

ดีเอสไอ 2 ก.ย. – “แม่โยโกะ” มอบหลักฐานสำคัญ “DSI” ตรวจสอบ เชื่อมีการจัดฉากวางแผนฆาตกรรมลูกสาว ยังติดใจการตายทุกขั้นตอน


สืบเนื่องจากกรณีการเสียชีวิตปริศนาของ น.ส.พราวรวี หรือ น้องโยโกะ พริตตี้สาว ต่อมานางธัญพัฒน์ มารดา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังผลการชันสูตรพลิกศพของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุสาเหตุการเสียชีวิต “ภาวะพิษจากไซยาไนด์” แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน กลับรีบเร่งสรุปสำนวนด้วยการลงท้ายว่า ญาติไม่ติดใจสาเหตุการตาย ทั้ง ๆ ที่มารดาของโยโกะ ระบุค้านต่อเนื่องว่ายังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตลูกสาว และที่มาที่ไปของขวดสารไซยาไนด์ รวมถึงไม่เคยเห็นเอกสารสำนวนของพนักงานสอบสวน จึงเชื่อว่าลูกสาวไม่ได้ฆ่าตัวตายเอง แต่มีการจัดฉากฆาตกรรมเกิดขึ้น และครอบครัวยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม

วันนี้ (2 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. นางธัญพัฒน์ มารดาโยโกะ พร้อมด้วยทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อมอบพยานหลักฐาน และพยานเอกสารเพิ่มเติมแก่ดีเอสไอ เพื่อขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตรวจสอบและรับทำคดีการเสียชีวิตของโยโกะ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีหนังสือที่ ยธ.0816/203 ลงวันที่ 5 ก.พ.67 แจ้งการรับเรื่องเบื้องต้น ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เรียนว่าพฤติการณ์ตามคำร้องอาจเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฆ่าผู้อื่น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้ส่งเรื่องให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรม เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป


มารดาโยโกะ กล่าวว่า จากผลการชันสูตรพลิกศพของลูกสาว ตรวจพบสารไซยาไนด์ในร่างกาย แต่ตนสงสัยแฟนลูกสาว และการทำงานของตำรวจ สน.คลองตัน ที่แถลงปิดสำนวนว่าลูกสาวฆ่าตัวตายและญาติไม่ติดใจเอาความ แต่ที่จริงแล้วทางครอบครัวยังสงสัยการเสียชีวิตมาโดยตลอด ซึ่งขัดแย้งกับทางตำรวจ ส่วน 26 ประเด็นที่ครอบครัวเคยยื่นเรื่องให้พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ตรวจสอบ ซึ่งมีเพียงบางประเด็นตำรวจแจ้งให้รับทราบ แต่ก็ไม่ใช่ข้อสรุปทางคดี

ด้านทนายกฤษณะ เผยว่า ทางตำรวจ สน.คลองตัน เคยเรียกสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย แต่คุณแม่น้องโยโกะยังมีประเด็นสงสัยแต่ไม่เรียกสอบปากคำเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด หรือ สารไซยาไนด์ที่พบในร่างกายโยโกะ แต่กลับไม่มีการระบุว่าสารไซยาไนด์ดังกล่าวได้เข้าไปในร่างกายจากทางใด ซึ่งถ้าเป็นตามข่าวคดีอื่นหากรับประทานสารไซยาไนด์เข้าไป จะมีรอยไหม้บริเวณขอบปาก แต่น้องโยโกะไม่มี จึงมีข้อสงสัยอาจมีการใช้ผ่านแคปซูลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยปกติพนักงานสอบสวนต้องเสาะแสวงหาหลักฐานให้ครบถ้วน รวมทั้งข้อความแชทในโทรศัพท์มือถือ รอยนิ้วมือในการเปิดขวดสารไซยาไนด์ที่มีลักษณะผิดปกติ ซองที่พบมีปรากฏรอยนิ้วมือหลายรอย ครอบครัวยังติดใจ จึงไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนตรวจสอบประเด็นเหล่านี้หรือไม่ แม้แต่ในวันแถลงข่าวปิดคดี คุณแม่ก็ไม่เคยเห็นสำนวนที่ตำรวจสรุปส่งอัยการ อย่างไรก็ตาม ตามหลักการแล้ว ตำรวจที่ทำสำนวนต้องบอกครอบครัวผู้เสียหายในรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อความสบายใจ แต่ที่ผ่านมาคุณแม่ไม่ทราบอะไรเลย

ก่อนหน้านี้ทางครอบครัวน้องโยโกะ ได้เคยเข้ายื่นเรื่องกับดีเอสไอขอให้รับเป็นคดีพิเศษ เพราะติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของโยโกะ จึงทราบความคืบหน้าว่าดีเอสไอได้มีการตั้งเลขสืบสวนไว้แล้ว โดยประสานขอข้อมูลจาก สน.คลองตัน แต่ทางดีเอสไอยังไม่ได้รับ ทำให้ดีเอสไออาจมีการลงพื้นที่ตรวจสอบพยานหลักฐานด้วยตัวเองเพื่อเร่งรัดตรวจสอบการทำคดี นอกจากนี้ ที่ผ่านมาทางคุณแม่โยโกะยังไม่เคยได้รับการติดต่อกลับจากอดีตแฟนหนุ่มของโยโกะเลยสักครั้ง


ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ได้พูดคุยกับคุณแม่ของโยโกะ ทราบว่าสำนวนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ดำเนินการนั้น จะเป็นสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ ที่ปัจจุบันอยู่ในชั้นของพนักงานอัยการ ซึ่งจะต้องแยกออกจากที่คุณแม่สงสัยว่าเป็นความผิดทางอาญากรณีที่ลูกสาวเสียชีวิต โดยในส่วนนี้ทางดีเอสไอได้มอบหมายให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ดำเนินการสืบสวน เพื่อจะดูว่ามีมูลความผิดทางอาญาและเข้าเงื่อนไขที่จะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ระหว่างที่สืบสวนคดีอยู่นั้น ดีเอสไอยังมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทุกอย่าง ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องเชิญมาให้ข้อมูลก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน เพราะในเชิงคดีอาญา ยังไม่มีการดำเนินการของตำรวจ ฉะนั้น หากผู้ตายไม่ได้ตายด้วยธรรมชาติ อาจมีการจัดฉากวางแผนให้มีการฆาตกรรม ถ้าดีเอสไอสืบสวนแล้วพบว่าการตายน่าจะเกิดจากการกระทำความผิดทางอาญา ก็เป็นหน้าที่ที่ดีเอสไอจะต้องลงไปดูรายละเอียดว่าการตายนั้น ในชั้นสืบสวน อาจจะไม่มีหมายเรียกผู้ต้องหาออกมา เพราะเจ้าหน้าที่ต้องสืบสวนก่อนว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นหรือไม่ และมีความซับซ้อนตามกฏหมายคดีพิเศษที่กำหนดไว้หรือไม่ หากใช่ ก็จะเสนอรับเป็นคดีพิเศษ และเมื่อรับเป็นคดีพิเศษแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการดำเนินการพิสูจน์ความจริง รวมทั้งการออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยในวันนี้ภายหลังรับเรื่องราวและพยานหลักฐานต่าง ๆ ทางกองบริหารคดีพิเศษ จะได้ประมวลเรื่องความประสงค์ของผู้เสียหายส่งไปยังกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เพื่อไปประสานข้อมูลคดีกับ สน.คลองตัน ตามขั้นตอน. -420-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย