กรุงเทพฯ 1 ก.ย.-ผู้เสียหายร้อง “กัน จอมพลัง” หลังถูกเพื่อนบ้านลูกตำรวจ คุกคามนาน 6 ปี
ครอบครัวจากจังหวัดนครราชสีมา มาร้องทุกข์กับนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง หลังถูกเพื่อนบ้านซึ่งเป็นหนุ่มข้าราชการมีพ่อเป็นตำรวจยศใหญ่ คุกคามมานานนับ 10 ปี อาทิ ปาขวดใส่หลังคาบ้านตอนกลางคืน, นำปืนมาชักสไลด์เสียงดัง จนทำให้เกิดความหวาดกลัว, กวาดขยะแล้วเอามาเทในบ้าน, นำเลเซอร์มาส่องใส่กล้องวงจรปิดจนได้รับความเสียหาย, ทำร้ายร่างกายแม่และพ่อของผู้เสียหาย ฯลฯ ทั้งนี้เมื่อแจ้งไปยังหน่วยงานให้เข้ามาดำเนินการแต่ได้รับคำตอบให้ไปฟ้องเอาเอง
ด้านผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่ อายุ 50 ปี เล่าเหตุการณ์ว่า เหตุการณ์เริ่มมีปัญหาตั้งแต่ 2561 จากลูกสาวคนเล็กเกิดโทรศัพท์เสีย จึงไปยืมโทรศัพท์ของนายกร ซึ่งเป็นลูกตำรวจที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานาน 10 ปี ลูกสาวได้ใช้ 3-4 วัน หลังจากนั้นลูกชายตำรวจมาแจ้งว่าโทรศัพท์เสีย เขาอ้างว่าโทรศัพท์เสียจะต้องส่งไปซ่อมที่สิงคโปร์เป็นยอดเงิน 1,600 บาท ซึ่งตอนนั้นตัวเองยินดีที่จะชดใช้ให้ ทั้งนี้ฝั่งของแม่ได้พูดกับลูกสาวว่าไม่ชอบพฤติกรรมของลูกที่ไปเอาโทรศัพท์คนอื่นไปใช้ จึงลงโทษลูกโดยต้องเอาเงินเก็บของลูกสาวมาใช้ เพราะไม่อยากลงโทษด้วยการตี แต่ในช่วงที่เขาทวงมาในวันนั้นแม่ไม่สบาย เมื่อเขาแชทมาทวงถามเรื่องเงิน ทางแม่ไม่ได้เปิดแชทอ่านเพียงหนึ่งวัน หลังจากนั้นเขาก็ไปฟ้องพ่อเขาซึ่งเป็นตำรวจว่าทางฝ่ายเราไม่รับผิดชอบเรื่องโทรศัพท์
ผู้เสียหายเล่าอีกว่า หลังจากนั้นมีประเด็นกับนายตำรวจผู้เป็นพ่อ หลังจากที่ฝ่ายตัวเองไปแจ้งความกับบุคคลหนึ่งในข้อหาหมิ่นประมาท เนื่องจากมีการโพสต์ด่ากันผ่านทางเฟซบุ๊ก จึงไปแจ้งความที่โรงพักแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมาเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทางตำรวจคนดังกล่าวจึงได้เข้ามารับทำคดีให้ ส่วนที่แจ้งความดำเนินคดีเพราะไม่อยากได้เงิน แต่ต้องการให้คู่กรณีมาขอขมาหรือขอโทษเท่านั้น แต่ทางตำรวจได้ไกล่เกลี่ยให้ตกลงยอมความกันที่ยอดเงินจำนวน 30,000 บาท ทั้งนี้ฝ่ายตัวเองบอกว่าหากได้เงินมาจะนำเงินดังกล่าวไปทำบุญ แต่เมื่อได้เงินมาก็ยังไม่ได้มีการนำไปทำบุญ หลังจากนั้นนายตำรวจคนนี้ก็มาทวงถามเรื่องเงินส่วนหนึ่งที่จะนำไปทำบุญแต่ก็ไม่ได้ให้กัน จากนั้นกลายเป็นประเด็นมาเรื่อยๆ และเกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน เพราะไม่ได้นำเงินในส่วนนั้นไปให้
ผู้เสียหายเล่าว่า ครอบครัวโดนระรานมาเรื่อยๆ 4 ครั้ง ครั้งแรกที่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่โดนถูกปาขวดเข้ามาในบ้านทำให้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นกระจกแตกร้าว จึงได้ไปแจ้งความดำเนินคดี แต่กว่าจะขึ้นศาลก็ใช้เวลานาน โดยตำรวจบอกว่าให้ไปพูดคุยกันก่อน เมื่อไปแจ้งความทีหลังก็อ้างว่าคดีขาดอายุความ เนื่องจากไปแจ้งความในคดีอาญาเกินกว่า 90 วัน จุดประสงค์ที่ไปแจ้งความเพราะเห็นว่าใครทำโดยเห็นว่าเป็นลูกนายตำรวจเพื่อนบ้าน จึงมีการชะลอเรื่องเอาไว้ทำให้คดีขาดอายุความ ตัวเองจึงไปร้องเรียนกับทางผู้กำกับการว่ามีเจตนาที่จะดำเนินคดีทำไมไม่ทำเรื่องให้ หลังจากนั้นก็มีการทำเอกสารกลับมาว่าจะทำเรื่องให้ หลังจากที่เริ่มมีปัญหาโคมไฟหน้าบ้านก็ถูกทุบและมีการกดกริ่งเรียกคนในบ้านแต่ตัวเองไม่ทราบว่าเป็นใคร ในเวลานั้นมีเรื่องเพียงแต่กับเขา
จากนั้นก็ถูกทุบกล้องวงจรปิดก็ไปแจ้งความอีก แต่ทางโรงพักดังกล่าวบอกว่าหลักฐานไม่ชัดเจน และต่อมาก็มีการขว้างขวดโซดามาที่บ้าน 3-4 ขวด ทั้งนี้เห็นว่าใครเป็นคนทำ เพราะทุกคนอยู่ในบ้าน ได้ใช้เป็นกล้องมือถือถ่ายคลิปเอาไว้เห็นว่านายกรเป็นคนทำ ทั้งนี้ที่บ้านไม่มีปัญหาหรือประเด็นกับใคร จากนั้นก็โดนทั้งทิ้งขยะขว้างเข้ามาเต็มบ้าน โยนไฟที่เอาผ้าใส่ในกระป๋องที่มีน้ำมันโยนเข้ามาในบ้าน จึงไปแจ้งความเอาไว้แต่ทางตำรวจบอกว่าหลักฐานไม่ชัดเจน ไม่เห็นคนทำจึงให้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้
ผู้เสียหายเล่าว่า ต่อมาต้องพาครอบครัวไปย้ายไปอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี เพราะอยู่ไม่ได้ ส่วนลูกสาวคนโตไปเรียนที่เชียงราย ลูกสาวคนเล็กมาเรียนที่กรุงเทพฯ ระหว่างที่มีปัญหาระหว่างกันฝ่ายตัวเองถูกแจ้งดำเนินคดีไป 10 กว่าคดีภายในปี 2561 ถึง 2562 โดยผู้เป็นพ่อโดนแจ้งความ 3 คดี ลูกสาว 2 คดี ส่วนตังเองโดนไป 9 คดี ส่วนใหญ่เป็นข้อหาแจ้งความเท็จ เพราะที่ไปแจ้งความหลักฐานไม่ชัดเจน เขาจึงแจ้งความกลับ
ทั้งนี้ระหว่างที้กำลังไปแจ้งความกรณีที่โดนขวางขวดมาที่บ้านอยู่บนโรงพัก นายกรก็มาเดินโวยวายว่าเป็นลูกสารวัตรและเดินมาข้างหลังพ่อพยายามจะตบหัว แต่กลับกลายเป็นว่าพ่อถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกาย เพราะเอามือสะบัดไปโดนเขาเนื่องจากตกใจ ในคดีขว้างขวดโซดา ศาลลงโทษเสียค่าปรับไป 300 กว่าบาท ส่วนคดีของฝั่งตัวเองศาลยกฟ้องเพราะไม่มีเจตนา จากการตรวจสอบพบว่านายกรมีพ่อเป็นสารวัตรจริง โดยเป็นสารวัตรสอบสวนในโรงพักที่ไปแจ้งความ ก่อนที่จะย้ายไปปฎิบัติหน้าที่ที่โรงพักอื่น
“ส่วนตัวรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ในส่วนที่ตัวเองไปแจ้งความดำเนินคดี บางคดีต้องติดตามนานกว่า 2 ปี ปัจจุบันครอบครัวก็ยังคุกคามอยู่ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ทั้งนี้โดนคุกคามและโดนคดีจนไม่มีเวลาทำมาหากิน
และเป็นห่วงลูกสาว เพราะบางวันก็มีขยะโยนเข้ามาในบ้าน อยากให้เขาหยุดทำพฤติกรรมคุกคาม ให้ต่างคนต่างอยู่ และอยากให้เอาต้นไม้ที่ปลูกขวางทางเข้าบ้านออก“ ผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่กล่าว
ด้านกัน จอมพลัง กล่าวว่า ในส่วนของคลิปและมีข้อมูลอีกหลายส่วนที่ยังไม่ครบในส่วนที่เล่าเท่าที่จับใจความได้คือมีปัญหาเรื่องคดี แจ้งความกันไปกันมา ทั้งนี้ตัวเองจะประสานไปยังอธิบดีอัยการคุ้มครองสิทธิ เพื่อมาคุยกันเรื่องคดีว่าจะจบลงอย่างไรเพราะถ้าแจ้งกันไปกันมาก็เสียเวลากันทั้งคู่ จากที่ดูคลิปมีการพิพาทกันกินแหนงแคลงใจกันมานานไม่มีใครมีความสุขทั้งคู่ หากคุยกันไม่ได้จะประสานไปยังผู้บังคับการจังหวัดนครราชสีมา หากพูดคุยกันไม่ลงตัวจะดำเนินคดีกันอย่างไรให้ถึงที่สุดหรือไม่ก็ว่ากันไป ทั้งนี้จะต้องให้ความเป็นธรรมกับอีกฝ่ายด้วย เพื่อหาทางออกที่ดึ เชื่อว่าปัญหาเพื่อนบ้านจะจบง่ายที่สุดคือการมานั่งพูดคุยกัน.-419.-สำนักข่าวไทย