กรุงเทพฯ 18 มิ.ย. – ตำรวจสอบสวนกลาง ประชุมร่วมรองอธิบดีอัยการ หารือคดีเรือน้ำมันเถื่อนของกลางหาย
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน พร้อมด้วยนายฉัทปณัย รัตนพันธ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ, พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม (รอง ผบก.ป.) พ.ต.อ.ชัชวาล ชูชัยเจริญ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ผกก.ปอศ.2) และคณะ ได้ร่วมประชุมหารือในคดีจับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน และกรณีที่เรือน้ำมันเถื่อน 3 ลำ ที่จับกุมได้หายไปจากท่าเทียบเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
เบื้องต้น พ.ต.อ.ชัชวาล เปิดเผยว่า เนื่องจากคดีจับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนเป็นคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่เขตเศรฐกิจจำเพราะทางทะเล จึงเป็นคดีนอกราชอาณาจักร แต่ทำผิดตามกฎหมายไทย จึงต้องให้อัยการเข้าร่วมการสอบสวน โดยการประชุมในวันนี้จะเป็นการประชุมหารือรายละเอียดทางคดีทั้งหมด ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงเมื่อวานนี้ที่มีผู้ต้องหามารายงานตัว โดยส่วนของ บก.ปอศ. ซึ่งเป็นเจ้าของคดีจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน ในความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร และ พ.ร.บ.สรรพสามิต ก็จะหารือกับอัยการในประเด็นการดำเนินการกับกลุ่มผู้ต้องหาและการขยายผลในขั้นตอนต่อไป
ส่วนจะขยายผลไปถึงกลุ่มผู้บงการหรือไม่นั้น ตำรวจ บก.ปอศ. ได้ประสานข้อมูลการสืบสวนจากฝั่ง ตำรวจกองบังคับการปราบปราม และจะนำเสนอข้อมูลให้อัยการพิจารณาว่า พยานหลักฐานสาวถึงผู้ร่วมขบวนการรายใดบ้างที่เพียงพอที่จะดำเนินคดี
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เปิดเผยว่า ในส่วนของกองบังคับการปราบปรามก็จะมีการประชุมหารือร่วมกับอัยการใน 3 ส่วน คือ 1.ส่วนของคดีจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน ที่ตำรวจกองปราบปรามเป็นชุดสืบสวน ก่อนที่จะส่งมอบข้อมูลให้พนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ไปดำเนินคดีเรื่องเกี่ยวกับภาษี 2.ประเด็นการขยายผลเครือข่ายและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3.เป็นเจ้าของคดีเรือที่หายไป 3 ลำ ซึ่งภาพรวมจะเป็นการหารือในเรื่องรูปสำนวนให้รอบด้าน และการขยายผลจากกลุ่มผู้ต้องหาเดิม ซึ่งทางตำรวจก็มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงตัวบุคคลในส่วนหนึ่งอยู่ เป็นกลุ่มผู้บงการ 3-4 คน เพราะเมื่อมีคดีเรือหายขึ้นมา ก็ทำให้ตำรวจมองเห็นความเชื่อมโยงต่างๆ มากขึ้น เห็นตัวละครสำคัญมากขึ้น พยานหลักฐานในคดีเดิมชัดเจนมากขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งหากพยานหลักฐานเพียงพอก็จะออกหมายจับ
พ.ต.อ.เอนก เปิดเผยว่า ส่วนลูกเรือ 15 คน ที่ลงเรือ 3 ลำ ที่หายไป พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับไว้แล้วทั้ง 15 คน ในข้อหาเกี่ยวกับการเอาไป หรือทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย ซึ่งทรัพย์สินที่พนักงานยึดไว้ไปเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 242 และ 158 และการลักทรัพย์ของผู้อื่น เพราะที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งหมด 28 คน ต่างคนต่างปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าของเรือ และเจ้าของน้ำมัน ดังนั้นเรือกับน้ำมันจึงเป็นทรัพย์ของผู้อื่น การที่ผู้ต้องหา 15 คน นำเรือออกไป ก็จะเข้าข่ายลักทรัพย์ของผู้อื่น ซึ่งเมื่อวานนี้ตามจับกลับมาได้ 8 คน ส่วนอีก 7 คน ยังหลบหนี ซึ่งฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างเร่งติดตามจับกุมมาดำเนินคดี. -419-สำนักข่าวไทย