14 มิ.ย. – ประธานสมาคมการประมงฯ-นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย ให้ความเห็นสอดคล้องกรณีเรือน้ำมันหาย 3 ลำ ใช้ความเร็ว 10 น็อต หลบหนีหลายชั่วโมงก่อนพ้นน่านน้ำไทย คาดเจ้าหน้าที่หละหลวมปล่อยเรือลอยลำโดยไม่ควบคุม มองหากเรือของกลางหายจะไม่สามารถฟ้องคดีได้
นายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย กล่าวถึงกรณีเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำ พร้อมน้ำมันเถื่อน 330,000 ลิตร ของกลางในคดี จอดอยู่ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี หายไปว่า การเติมน้ำมันของเรือประมงสามารถเติมได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่หรือประมงจะเติมน้ำมันจากเรือน้ำมันที่ขายน้ำมันเขียว หรือน้ำมันที่กลั่นมาขายให้กับชาวประมง ซึ่งเรือโครงการขายน้ำมันเขียวจะอยู่กลางทะเลโดยสมาคมจะเป็นผู้ออกรหัสให้ หรือจะซื้อน้ำมันจากบนฝั่งซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้เรือประมงจะเติมน้ำมันเขียวเนื่องจากถูกกว่าราคาน้ำมันปกติ 2-5 บาท/ลิตร ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันในขณะนั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ตนเองทำเรือประมงที่ต่างประเทศ หากเรือถูกจับที่ต่างประเทศ โดยปกติจะต้องถอดพวงมาลัยเรือ หรืออุปกรณ์เครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้เรือที่ถูกจับหลบหนีได้ ซึ่งเป็นมาตรการที่ต่างประเทศใช้ เช่น อินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามหากไม่มีอุปกรณ์ในการเดินเรือแต่หากมีอะไหล่ ก็สามารถทำได้ ทั้งนี้เรือที่ต่อมาส่วนใหญ่ความเร็วอยู่ที่ประมาณ 10 น็อตต่อชั่วโมง หรือเท่ากับ 18.52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากเจอสภาพอากาศที่ไม่เอื้อจะทำให้ช้าลง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในขณะนั้นว่าจะรุนแรงแค่ไหน หากรุนแรงมากปกติการเดินเรือ 10 น็อต จะเหลือ 5-6 น็อต
อย่างไรก็ตาม หากให้วิเคราะห์ในกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ การเอาเรือของกลางออกไปอาจเกิดจากมีจังหวะที่ดี ประกอบกับสภาพอากาศในขณะนั้นเอื้ออำนวย ทำให้การหลบหนีออกไปสามารถทำได้ง่ายโดยที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ควบคุมอยู่บนเรือ ซึ่งช่วงที่เจ้าหน้าที่ได้ให้เรือออกไปลอยลำถือว่าเรืออยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และลูกเรือพร้อม ปัจจัยทุกอย่างทำให้มีความพร้อมในการหลบหนี จึงอาศัยจังหวะดังกล่าวหนี ส่วนเรือที่ไม่มี GPS สามารถนำเรือออกได้ ถ้าผู้ควบคุมเรือมีความเชี่ยวชาญหรือมีความรู้ในการเขียนแผนที่ด้วยดินสอ โดยเฉพาะชาวประมงรุ่นเก่า ๆ สามารถทำได้ ส่วนโทรศัพท์ดาวเทียมไม่สามารถช่วยในการเดินเรือได้ แต่ทั้งนี้เชื่อว่ากรณีดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต้องใช้เรือนำในการหลบหนีเนื่องจากคนเรือมีความชำนาญ และสภาพพื้นที่บริเวณสัตหีบเป็นพื้นที่เปิด ทำให้ง่ายต่อการหลบหนี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวก็สงสัยว่าหลบหนีได้อย่างไรเพราะเป็นเขตพื้นที่ของกองทัพเรือ ทั้งนี้ หากจะหลบหนีไปนอกน่านน้ำไทย คาดว่าใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 วัน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นการหละหลวมของเจ้าหน้าที่ในการปล่อยเรือออกไปลอยลำโดยไม่ควบคุม แม้สภาพอากาศแปรปรวน แต่จะต้องมีเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเรือ หรือจะต้องมีการส่องกล้องติดตามอยู่ตลอดเวลาว่าเรือของกลางอยู่หรือไม่
ด้านนายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้วิเคราะห์ในกรณีที่เกิดขึ้นว่า เรือน้ำมันเถื่อนจะไม่มี GPS แต่หาก เป็นเรือประมงจะมีติดตั้งอยู่ตลอดเวลา แต่ในส่วนนี้เห็นว่าเป็นเรือน้ำมันเถื่อนแต่ส่วนตัวไม่แน่ใจว่าจะเป็นน้ำมันเถื่อนหรือไม่เพราะมีการต่อสู้คดีกันอยู่ ประเด็นของกลางจะมีการบกพร่องหละหลวม แม้ในการย้ายออกไปจะมีคลื่นลม จึงจำเป็นต้องย้ายออก แต่คนที่ดูแลมีความสะเพร่าหรือไม่ เพราะเรือไม่ได้วิ่งเร็วมากจะต้องใช้เวลา หากจะไปกัมพูชาจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะเรือวิ่งได้ 8-10 น็อต
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ เพราะอาจคิดว่าไม่มีใครกล้า ในประเด็นนี้ส่วนตัวให้ความเห็นได้ยาก เพราะทราบว่าเจ้าของเรือตามที่ปรากฏเป็นข่าวก็ยังมีคดีอยู่และมีอิทธิพลทางด้านการเงินพอสมควร
เมื่อถามถึงว่าการนำเรือของกลางหลบหนีพร้อมน้ำมันหรืออาจเป็นเพราะเรือมีราคาแพงหรือไม่นั้น นายมงคล กล่าวว่า เรือไม่แพงมาก แต่หากไม่มีของกลางจะสามารถฟ้องคดีได้หรือไม่ หรือจะนำเรือไปจมแล้วไม่ก็รู้ ส่วนตัวมองว่าการนำเรือหายไปอาจเกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวหรือไม่ เพราะเรือไม่ได้มีราคาสูง อาจไปซื้อเรือลำละหลักแสนไปดัดแปลง ราคาเรืออาจไม่กี่ล้านบาท แต่ก็ไม่เข้าใจว่าจะขโมยไปทำไม ส่วนคนที่พาเรือไป เช่น นายท้าย, ถือท้ายเรือ, ช่างเครื่อง อาจจะซวยติดคุกได้
ส่วนสภาพอากาศหากมีคลื่นลมแรงการเดินเรือปกติที่ 10 น็อต ความเร็วอาจลดลงเหลือ 7-8 น็อตได้ เรือไม่ได้เร็ว เพราะมีรูปร่างคล้ายเรือประมง การหลบหนีไปแบบนี้อย่างไรเชื่อว่าจะต้องถูกจับกุมได้ หากไม่นำเรือไปจม หรือเปลี่ยนแปลงสภาพเรือหรือสัญลักษณ์ของเรือเช่น เปลี่ยนสีเรือ, พ่นเปลี่ยนชื่อเรือ สามารถทำได้ไม่ยาก. -419-สำนักข่าวไทย