กทม. 3 มิ.ย.-ครอบครัว “เสี่ยต้น” เปิดใจ คนรักเป็นคนจ้างวานฆ่า เชื่อปมก่อเหตุ มีบุคคลที่สามบงการ หวังเงินประกัน 16 ล้าน
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายคลายทุกข์ เผยว่า พยานหลักฐานที่มีตรงกับที่พนักงานสอบสวนมี จึงนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คนได้ เนื่องจากคดีนี้ทำเป็นขบวนการ เริ่มจากภรรยา คือพบเส้นทางการเงิน มีการโอนไปยังผู้ต้องหาทั้ง 3 และการซัดทอดไปยังภรรยา ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญ รวมไปถึงภาพกล้องวงจรปิด การชี้เป้า และข้อมูลการใช้โทรศัพท์ที่สอดคล้องกับพยาน ก่อนจะไปสู่การออกหมายจับในคดีจ้างวานฆ่า (289 (4) และพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีโทษ 2 ใน 3 จำคุกตลอดชีวิต
ส่วนคดีที่จังหวัดมหาสารคาม ตอนนี้ทีมสืบสวนของตำรวจภาค 4 มีหลักฐานที่มีความเชื่อมโยงกัน เชื่อว่า คนชี้เป้าเป็นคนเดียวกันอย่างแน่นอน แต่ยังต้องตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนผลชันสูตรยังไม่ออก ทำให้ยังไม่มีความชัดเจนว่าในร่างกายเสี่ยต้นมีสารอะไรบ้าง ตรงนี้ยังเป็นความลับอยู่ ยังต้องรอผลอยู่
ส่วนสาเหตุคิดว่า เป็นเรื่องชู้สาวและเจ็บช้ำน้ำใจจากคำพูดของเสี่ยต้น และปากเสียงกันภายในครอบครัว อย่างไรก็ตามเรื่องเงินประกัน หากตอนแรกยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ เงินประกันผู้ได้รับผลประโยชน์จะต้องเป็นลูก โดยมีภรรยาเป็นผู้จัดการมรดก แต่หลังจากนี้ทางประกันจะต้องพิจารณาว่าจะยกเลิกประกันหรือไม่ เนื่องจากเป็นคดีจ้างวานฆ่า รวมไปถึงชั้นศาลตามมาตราพาณิชน์ 17 และ 13 ถอดภรรยาออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งพรุ่งนี้ เวลา 10.30 น. ทางญาติจะไปยืนการคัดคาดการประกันตัวที่ สน.วังทองหลาง และ ศาลอาญา รัชดา
พระพ่อวสันต์ กลีบจินดา (พ่อเสี่ยต้น) เผยว่า เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น ขอให้กรรมเป็นผู้ตัดสิน หนีกรรมกันไม่พ้น ส่วนความรู้สึกนั้น ตอนที่รู้ว่าเสี่ยต้นเสียชีวิต รู้สึกใจหาย เพราะตนเป็นผู้ไปส่งที่สนามบิน ก็ไม่รู้จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ก่อนหน้านั้นได้บอกว่าให้นำตำรวจไปจังหวัดมหาสารคามด้วย แต่เสี่ยต้นไม่ฟัง จนตอนเช้าอีกวันโยมแม่โทรมาบอกถึงทราบเรื่อง อาตมาได้ลูกคนนี้ดูแลมาตลอด เขาเป็นคนดี ทำอะไรก็ไม่เคยขัด และเป็นคนไม่อยากไปมีปัญหากับใคร ขนาดถูกฟันที่พัทยายังไม่เอาเรื่อง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ คงเป็นเวรกรรมของเขา ก็ขอให้จบลงที่ตรงนี้
ส่วนสาเหตุการก่อเหตุนั้น ตนไม่ทราบ เวลาที่ไปเยี่ยมที่บ้าน ไม่เคยเจอภรรยาของเสี่ยต้นเลย แต่ที่รู้เสี่ยต้นป็นคนรักเมีย จึงไม่เคยเล่าเรื่องอะไรที่บ้านให้ตนฟัง ตอนนี้คิดได้อย่างเดียวก็คือ คนที่เขารักเป็นคนทำ ซึ่งตนก็คิดว่า เป็นคนใกล้ชิดแน่ๆ ที่เป็นตัวการ เพราะไม่มีสาเหตุอื่นที่เขามาเกี่ยวพันในคดีจ้างวานฆ่า
ส่วนกรณีเรื่องการเผาร่างเสี่ยต้นนั้น ตอนไปจุดธูปไหวศพ ลูกสะใภ้ได้มานั่งพูดข้างๆ และได้เสนอว่า ถ้าไม่เอาศพไปผ่า จะไม่ได้เงินค่าประกัน และถ้าได้มาจะแบ่งให้ 2 ล้าน ตนก็บอกว่าไม่เอาหรอกเพราะบวชอยู่ ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ยกให้แม่ไปละกัน หรือไม่ก็สร้างกุฎิ 1 หลังถวายวัด
ด้านนางสาวปภาพินท์ กลีบจินดา กล่าวว่า กลังเกิดเหตุจนนำไม่สู่การจับกุมคนร้ายได้ ถ้ามีโอกาสได้เจอหน้าลูกสะใภ้อยากถามว่า “มาทำลูกของแม่ทำไม เงินทองสมบัติทั้งหมดก็ได้ไปแล้วทำไมยังต้องมาเอาชีวิตเขาไปอีก มันทำให้พ่อและแม่อยู่กันอย่างยากลำบาก” ซึ่งหลักฐานทั้งหมดที่ตำรวจมีก็ตรงกับใจแม่ ที่ผ่านมาเสี่ยต้นไม่เคยเล่าปัญหาในครอบครัวให้ฟัง เพราะรู้ว่าแม่เป็นคนขี้น้อยใจ ส่วนเรื่องที่แยกกันอยู่กับภรรยาก็เพิ่งมารู้ทีหลัง
ทั้งนี้ เชื่อว่าคดีจ้างวานฆ่าที่ สน.วังทองหลาง กับคดีที่ จ.มหาสารคาม น่าจะเชื่อมโยงกัน เพราะจะเอาชีวิตเสี่ยต้นที่ กทม.ไม่สำเร็จ จึงไปก่อเหตุอีกครั้งที่ จ.มหาสารคาม แต่ตนไม่ทราบข้อมูลเชิงลึกว่ามีปัญหาเรื่องมือที่สาม หรือเรื่องของทรัพย์สินหรือไม่ แต่ก่อนหน้านี้ครอบครัวของลูกสะใภ้ก็ไม่ได้มีฐานะมาตั้งแต่ต้น มาเริ่มมีฐานะหลังแต่งงาน โดยพระพ่อช่วยเหลือในเรื่องเงิน ส่วนนิสัยใจคอของลูกสะใภ้ปกติจะเรียบร้อย เป็นคนไม่ค่อยพูด ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันสองคนกับเสี่ยต้นตลอด อย่างไรก็ตามตนไม่ขอฝากถึงอะไรถึงลูกชาย เพราะเชื่อว่าเสี่นต้นรับรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ด้าน นางสาวณัฐปภัษร์ ธนภัคนันท์หิรัญ หรือ เจ น้องสาวผู้เสียชีวิต กล่าวว่า สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนว่าการเสียชีวิตของพี่ชายผิดปกติคือ ทราบว่าพี่สะใภ้ทักและโทรมาหาพี่ชายก่อนที่จะโดนรอบยิง เพราะในตอนนั้นทั้งคู่แยกกันอยู่ จากนั้นวันที่ 15 ตนได้ไปส่งพี่ชาย และวันที่ 16 พี่ชายได้เสียชีวิต ซึ่งตนทราบข่าว จึงรู้สึกโกรธแค้นมาก
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ชายและพี่สะใภ้ตนทราบมาว่า ทั้งสองคนต่างมีกิ๊ก ซึ่งเราได้ส่งข้อมูลให้ตำรวจทั้งหมดแล้ว และตำรวจก็ได้ไปสืบต่อจนทราบว่า ข้อมูลที่ให้ไปเป็นความจริง โดยกิ๊กฝั่งพี่ชายไม่ได้อยู่กินด้วยกัน และไม่เคยพาเข้าบ้านมาเจอญาติพี่น้อง โดยทราบว่ากิ๊กของพี่ชายเป็นลักษณะเด็กคาราโอเกะ
ขณะที่กิ๊กของฝ่ายพี่สะใภ้ ตนได้รับข้อมูลมาอีกต่อหนึ่ง ซึ่งตนได้ส่งข้อมูลให้กับทางตำรวจไปแล้วไม่สามารถเปิดเผยได้ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตนไม่สามารถไปร่วมงานศพที่จังหวัดมหาสารคามได้ เพราะต้องอยู่หาข้อมูลในโซเชียลส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ.-414.-สำนักข่าวไทย