น้องเมียและลูกสาว “เสี่ยต้น” พร้อมทนาย เข้าให้ปากคำตำรวจ

กทม. 22 พ.ค.-น้องเมียและลูกสาว เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจนวดสปา พร้อมทนาย เข้าให้ปากคำตำรวจ ในฐานะพยานใกล้ชิด หลังน้องสาวสงสัยถูกวางยาดับ

คการเสียชีวิตของนาย พิชิต กลีบจินดา อายุ 45 ปี หรือ เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจสปาและนวดแผนไทย ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา หลังกลับไปหาภรรยา คือ นางมด ที่บ้านพักในจังหวัดมหาสารคาม กระทั่งน้องสาวของเสี่ยต้นเข้าปรึกษาเพื่อขอความช่วยเหลือกับนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ที่สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ โดยสงสัยว่าเป็นการตายอย่างมีเงื่อนงำ เพราะสภาพศพดำคล้ำผิดปกติ เหมือนถูกวางยาพิษ ได้เดินหน้าร้องขอให้ตำรวจรื้อฟื้นคดีการตายของพี่ชาย และขอให้เร่งหาตัวคนร้ายที่ขี่ จยย.ตามประกบยิงรถตู้ของพี่ชาย เหตุเกิดในท้องที่ สน.วังทองหลาง เมื่อวันที่ 8 เม.ย.67 เพราะเชื่อว่าทั้ง 2 เหตุการณ์น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน


ความคืบหน้าที่ สน.วังทองหลาง-22 พ.ค.67 นางสาวส้ม ซึ่งเป็นน้องสาวของนางมด ภรรยานายพิชิต หรือเสี่ยต้น ผู้เสียชีวิต และลูกสาววัย 16 ปี ของผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยนายอนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือทนายพัฒน์ เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน เพื่อมาสอบปากคำในฐานะพยานที่เป็นคนใกล้ชิด และเป็นคนที่พาเสี่ยต้นเข้ามาแจ้งความที่โรงพัก

นางสาวส้ม น้องสาวภรรยาของเสี่ยต้น เปิดเผยว่า ตนทราบเหตุการณ์ในวันที่เสี่ยต้นถูกลอบยิงในวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา โดยลูกสาวของเสี่ยต้น เป็นคนโทรศัพท์มาแจ้ง ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน หลังจากนั้นตนก็ออกไปหาพี่สาว ก่อนจะออกมาหาเสี่ยต้นแล้วเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่ สน.วังทองหลาง


ซึ่งในวันเกิดเหตุก่อนที่จะเกิดเรื่องตามที่พี่สาวได้ให้สัมภาษณ์ว่า มีการนัดพบกับเสี่ยต้น ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ตนไม่ได้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วย และไม่ทราบว่าพี่สาวกับเสี่ยต้น ได้ไปรับประทานอาหารด้วยกันมาก่อน พอตนมาที่โรงพักก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สาว โดยตัวของพี่สาวเองก็ไม่ได้สงสัยว่าใครที่เป็นคนมาลอบยิงเสี่ยต้น เพราะตัวของเสี่ยต้นเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร จึงทำให้ในตอนนั้น ตนเองก็คาดว่าน่าจะมาจากเหตุซึ่งหน้ามากกว่า เนื่องจากเสี่ยต้น เวลาที่ได้ดื่มเหล้ามักจะเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง

ส่วนภาพผู้ต้องสงสัยจำนวนสองคนที่ปรากฏตามสื่อ ตนยืนยันว่าไม่ได้รู้จัก และไม่คุ้นหน้าผู้ต้องสงสัยทั้งสองรายด้วย ส่วนข้อมูลที่เพื่อนสนิทของเสี่ยต้น หรือนางหมวย ให้ข้อมูลว่าพี่สาวตนน่าจะรู้ดีว่าใครเป็นคนยิง แต่ตนเชื่อว่าพี่สาวตนก็คงไม่รู้ เพราะถ้าหากมีรูปภาพ หรือหลักฐานที่เห็นใบหน้าผู้สงสัยที่ชัดกว่านี้แล้วเอามาให้ดู หากตนรู้จักพี่สาวตนก็คงรู้จักเช่นกัน แต่ถ้าหากตนไม่รู้จัก พี่สาวก็คงไม่รู้จักเหมือนกัน

สำหรับตัวของเสี่ยต้น เท่าที่ตนรู้จักมา ยอมรับเลยว่าเป็นคนที่ถ้าหากได้ดื่มสุราแล้ว นิสัยจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อย่างตนเองก็เคยเจอเหตุการณ์ดังกล่าวมาแล้ว ด้วยการถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรง ด่าตน พี่สาว และแม่ รวมถึงเพื่อนที่นั่งดื่มเหล้าด้วยกันก็เคยโดนมาแล้ว จนมาช่วงหลังแม้จะไม่ได้ดื่มเหล้าก็จะเป็นคนที่มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย


ที่ผ่านมาตนเองยอมรับว่าเคยได้ยินเสี่ยต้น ด่าตนผ่านพี่สาวด้วยถ้อยคำแรงๆ เช่น คำว่า ”เดี๋ยวมึงก็เป็นเหมือนน้องมึงที่เลิกกับแฟนเก่าแล้วไปมีแฟนใหม่“ ซึ่งตนมองว่านี่เป็นชีวิตส่วนตัว หากอยากจะด่าก็ด่าไป เพราะตนยังสามารถทำงานให้กับบริษัทได้ตามปกติ ตนเองไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกเสี่ยต้นด่า แต่รู้สึกงงมากกว่าว่ามาด่าทำไม ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว และคิดว่าสาเหตุที่เสี่ยต้น มาด่าตนคงเป็นเพราะว่าตนเป็นคนชอบเที่ยวชอบดื่ม ซึ่งเสี่ยต้น ไม่ชอบผู้หญิงประเภทนี้

แม้ที่ผ่านมาตัวของเสี่ยต้น มักจะใช้ถ้อยคำรุนแรงกับครอบครัวของตน แต่ขอยืนยันว่าเหตุผลเหล่านี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวของตนกับเสี่ยต้น มีความขัดแย้งกัน และที่ผ่านมา ยอมรับว่า พี่สาวก็เคยมาระบายให้ฟังว่าเสี่ยต้น เมาแล้วมาหาเรื่อง ส่วนประเด็นเรื่องผู้หญิงอื่น พี่สาวก็เคยมาปรึกษา แต่ตนก็บอกไปว่า ผู้หญิงเขาทำงานจะไปตามเสี่ยต้น แบบ ‘ผัวฉันต้องกลับบ้าน’ ให้อายคนอื่นทำไม และแนะนำให้อยู่เฉยๆ ไป

ส่วนกรณีการเสียชีวิตของเสี่ยต้น ที่จังหวัดมหาสารคาม ตนก็ทราบแต่วันแรกที่เกิดเรื่องเนื่องจากตอนนั้นตนก็อยู่บ้านที่จังหวัดมหาสารคามด้วยเช่นกัน โดยหลังจากเสี่ยต้นเสียชีวิต ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้แจ้งกับตนว่าสามารถนำร่างไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้เลย ซึ่งตนก็ได้ไปจัดการเรื่องงานศพ

ส่วนประเด็นการเสียชีวิตของเสี่ยต้น ด้วยความที่ตนอยู่ที่บ้านด้วย จึงได้เห็นคืนก่อนวันที่เสี่ยต้นจะเสียชีวิต เห็นเสี่ยต้นดื่มเหล้าไปในปริมาณมาก โดยลักษณะจะเป็นการดื่มเพียว วันที่เสี่ยต้นถูกพบว่าเสียชีวิต ทางครอบครัวก็ไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่แจ้งกับครอบครัวว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

จนถึงวันที่จะมีพิธีฌาปนกิจร่างของเสี่ยต้น ก็ได้มีการเปิดโลงออกมา ซึ่งตนเองไม่ได้เข้าไปดูจึงทำให้เห็นไม่ชัด แต่ยอมรับว่าพอที่จะเห็นว่าร่างของเสี่ยต้น อยู่ในสภาพที่ดำคล้ำ และอืด โดยตอนนั้นเธอตกใจมาก แต่ก็ทราบว่าก่อนหน้านั้นที่ร่างของเสี่ยต้นอยู่ในโลงเย็น ปรากฏว่าโลงเย็นเสียจนทำให้เริ่มมีกลิ่น จึงได้มีการเปลี่ยนโลงเย็นอันใหม่

ส่วนกรณีที่น้องสาวของเสี่ยต้น ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม ส่วนตัวยอมรับว่างง เพราะนานหลายปีแล้วที่น้องสาวเสี่ยต้น มาทำงานบริษัทก่อนหายหน้าหายตาไป ซึ่งตอนที่มาทำงานด้วยกันก็ได้ทำงานอยู่คนละห้อง เท่าที่จำได้มีการพูดคุยกับพี่สาวตนตามปกติไม่ได้ดูว่ามีความขัดแย้งอะไรกันเลย

ด้านทนายพัฒน์ เปิดเผยว่า การที่นางสาวส้ม น้องสาวภรรยาของเสี่ยต้น รวมถึงลูกสาววัย 16 ปีของเสี่ยต้น ได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนในวันนี้ เนื่องจากเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตครอบครัว รวมถึงพามาแจ้งความที่โรงพักด้วย และอาจจะเป็นบุคคลที่ให้ถ้อยคำแล้วเป็นประโยชน์ สำหรับประเด็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัวของนางมด และเสี่ยต้น เท่าที่ทราบก็ไม่ได้มีอะไรที่เกินเลยจนถึงขั้นต้องฆ่า หรือวางยากัน

ส่วนในวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่นางมดภรรยาของเสี่ยต้น ได้เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน ก็เป็นการให้ถ้อยคำเพิ่มเติมในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้จากการที่สอบถามนางมด ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้สงสัยใครเป็นพิเศษ ก็เหมือนกับการให้ข่าวไปก่อนหน้านี้ว่าอาจจะเป็นเหตุการณ์ซึ่งหน้ามากกว่า

ส่วนประเด็นการเสียชีวิตที่จังหวัดมหาสารคาม นางมดก็ได้ให้ปากคำไปตั้งแต่หลังจากที่เกิดเหตุแล้ว และเมื่อวานนี้ก็ได้เข้าไปให้ปากคำเพิ่มเติมในประเด็นที่สื่อ และสังคมตั้งข้อสงสัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการให้ดูแชทรวมถึงโทรศัพท์มือถือของนางมด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องรอขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป โดยเรื่องดังกล่าวตัวของนางมด เองก็ไม่ได้มีความกังวลอะไร

สำหรับความคืบหน้าทางคดีจากข้อมูลทางการสืบสวนล่าสุด ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งเกะรอยหาเบาะแสคนร้ายจากกล้องวงจรปิด ซึ่งพบว่า หลังจากก่อเหตุแล้วคนร้ายได้ขี่รถจยย. ไปที่ปั๊มน้ำมันซอยนวมินทร์ 92 ก่อนจะหลบหนีต่อไปที่ย่านพระโขนง แล้วหายไปจากกล้องวงจรปิด เบื้องต้นคาดว่า คนร้ายเป็นมืออาชีพ เพราะมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ซึ่งหลังก่อเหตุได้มีการขี่รถวนในลักษณะหลอกทำให้ตำรวจหลงทาง แต่ตำรวจกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ คาดว่า จะได้ตัวคนร้ายในเร็วๆ นี้.-419.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]