เรียกให้ปากคำ พี่เลี้ยงต้องสงสัยทำร้ายเด็ก 3 ขวบบาดเจ็บ

กทม. 18 พ.ค.- ตำรวจเรียกพี่เลี้ยงให้ปากคำ หลังต้องสงสัยทำร้ายเด็ก 3 ขวบได้รับบาดเจ็บ เจ้าตัวโต้กลับ บอกไม่ได้ทำร้าย อ้างเด็กกินอาหารมากเกินไป


จากเหตุการณ์ช่วงบ่ายวานนี้ที่ น.ส.แสงทอง อายุ 59 ปี ผู้เป็นยาย น.ส.ปนัดดา อายุ 37 ปี ผู้เป็นป้า ของ ด.ช. อายุ 3 ขวบ หรือน้องพอร์ช เดินทางมาแจ้งความที่ สน.บางเขน ว่า น้องพอร์ชมีอาการกระเพาะแตก และมีรอยฟกช้ำตามร่างกาย บาดเจ็บสาหัส โดยเชื่อว่าพี่เลี้ยงเป็นคนทำร้ายร่างกาย

ล่าสุดวันนี้ น.ส.กาญจนาพร แม่ของน้องพอร์ช ได้เปิดเผยอาการล่าสุดว่า ดีขึ้น แต่ยังมีไข้สูง ซึ่งตอนที่มาถึงโรงพยาบาล หมอแจ้งว่าตามตัวน้องมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำๆ ตาค้างเกือบช็อก ถ้ามาช้ากว่านี้อาจถึงแก่ชีวิตได้ กระเพาะแตก ซึ่งหมอยังได้บอกอีกว่า ถ้ากินเยอะจนกระเพาะแตกไม่เคยเจอ ส่วนมากถ้ากินจนล้นกระเพาะจะเป็นการอาเจียนออกมาแทน ทั้งนี้ ผลการตรวจร่างกายต้องรอทางนักสังคมสงเคราะห์มาร่วมในการตรวจร่างกาย จึงจะทราบถึงสาเหตุอีกครั้ง ตอนนี้น้องอยู่ในห้อง ICU โรงพยาบาลอ่างทอง


แม่ของน้องพอร์ช ยังระบุอีกว่า ตนได้จ้างพี่เลี้ยง ดูแลลูกช่วงเดือนมกราคม และสังเกตเห็นว่าน้องพอร์ชเริ่มมีรอยฟกช้ำก่อนช่วงสงกรานต์ โดยพี่เลี้ยงอ้างว่าลูกดื้อ เดินชนโต๊ะ ชนประตู จนเป็นรอยช้ำ ซึ่งตนก็รู้ว่าลูกค่อนข้างดื้อ จึงไม่ได้เอะใจอะไร แต่หลังจากนั้นก็ขอรับลูกมานอนด้วย ขอพาไปเที่ยว แต่ทางพี่เลี้ยงไม่ให้ โดยอ้างว่ากำลังดัดนิสัยลูกอยู่จึงไม่อยากให้ออกไปไหน จนวันเกิดเหตุพี่เลี้ยงอ้างว่าลูกกินเยอะจนกระเพาะแตก ตนจึงรีบไปที่โรงพยาบาลทันที ตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวานนี้จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการติดต่อจากฝั่งพี่เลี้ยงเลย มีแต่ป้าของพี่เลี้ยงโทรมาหา และบอกว่า “มึงทำแบบนี้กับกูไม่เป็นไร (เรื่องแจ้งความ) มึงก็รู้ว่าลูกมึงดื้อ ลูกมึงซน” ตนเลยตอบกลับไปว่า ตนไม่ได้จะกล่าวหาอะไร รอผลตรวจออกมาค่อยว่ากัน ซึ่งตนรู้จักกับพี่เลี้ยงคนนี้มากว่า 10 ปี เคยกินอยู่ด้วยกัน และคอยช่วยเหลือกันตลอด จนเกิดความไว้ใจ และไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตนเองและลูก

โดยเมื่อวานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบปากคำทางโทรศัพท์ไปแล้ว และในวันจันทร์จะเอาใบตรวจร่างกายไปให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยได้มีการแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ทางพนักงานสอบสวน สน.บางเขน ได้นัดพี่เลี้ยงคนดังกล่าวมาเข้าพบ เพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว โดยนัดหมายให้เข้าพบเวลา 13.00 น. ของวันนี้ ใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 2 ชม. ก่อนที่พี่เลี้ยงคนดังกล่าวจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ปกติน้องพอร์ชเป็นคนกินเยอะ กินไม่รู้จักอิ่ม และคนในตลาดก็จะชอบซื้อขนมให้กินตลอด น้องกินตั้งแต่ช่วง 18.00 น. ตอนนั้นน้องอยู่กับตนที่ตลาด ตนก็สังเกตว่าน้องนิ่งไป จึงถามน้องว่าเป็นอะไร แต่น้องไม่ยอมพูด เลยจับท้องแล้วท้องแข็ง จึงคิดว่าอาจจะเป็นกรดไหลย้อน แต่น้องยังคงกินได้อยู่ จากนั้นช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. แฟนของตนมารับน้องกลับบ้านเพราะแฟนเลิกงานพอดี เป็นปกติ ส่วนตนเองต้องขายของต่อจน 02.00 น. พอกลับถึงที่พัก แฟนโทรกลับมาบอกว่า น้องพอร์ชบอกว่าปวดท้องมาก และร้องเจ็บตลอด แต่ยังบอกว่าไหว ตนจึงให้แฟนจับน้องนั่งชักโครกเพื่ออุจจาระ แต่ไม่ดีขึ้น ก็เลยพาน้องมานั่งพักด้านนอก แต่น้องยังบอกว่าปวดท้อง เลยตัดสินใจให้แฟนเอาน้องไปนั่งชักโครกอีกรอบ ในขณะที่แฟนจับน้องนั่งชักโครกแล้ว แฟนก็เดินออกไปกินข้าว และได้ยินเสียงดังตุ๊บ จึงเข้าไปดูในห้องน้ำ พบว่าน้องร่วงจากชักโครก ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 02.00 น. แฟนจึงโทรมาหาตนอีกรอบ บอกว่าจะพาน้องไปโรงพยาบาล เพราะน้องหน้าซีด ซึ่งตอนนั้นตนกำลังเก็บของอยู่ที่ตลาด และไม่ได้เอะใจอะไรเพราะน้องเคยมีอาการแบบนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ตอนนั้นกินเกลือแร่แล้วอาเจียน อาการก็ดีขึ้น แต่ไม่คิดว่ารอบนี้จะเป็นหนักขนาดนี้


พี่เลี้ยงยังเล่าอีกว่า รอยช้ำที่เกิดขึ้นตามร่างกายเป็นเพราะน้องเล่นซน ซึ่งทุกครั้งที่มีรอยช้ำตนจะแจ้งทางพ่อเด็กตลอด ส่วนเรื่องตี ยอมรับว่ามีการตีน้องพอร์ชจริง เป็นการตีเวลาดื้อ เพื่อสอน เพราะบางครั้งน้องทำนิสัยไม่น่ารัก ไปด่าคนที่อายุเยอะกว่า กลัวว่าถ้าวันนี้ไม่ตีในอนาคตน้องจะโดนด่าว่าไม่มีเลี้ยงดู แต่ไม่ถึงกับขั้นทำร้ายร่างกายแค่ตีเพื่อสอน

โดยตนเคยรับเลี้ยงน้องพอร์ชรอบแรกตอนน้องพอร์ชอายุ 3 เดือน และแม่น้องก็รับกลับไป และเอากลับมาให้เลี้ยงใหม่ในช่วง ธ.ค.2566 เป็นรอบที่ 2 และตนเองไม่เคยกีดกันให้แม่มาพบลูก มีแต่ทักหา ถามว่าทำไมไม่มาหาลูกบ้าง ซึ่งตั้งแต่ ธ.ค. จนเกิดเรื่อง แม่เด็กมาหาเพียง 2 ครั้ง มีแต่พ่อเด็กที่แวะเวียนมาหาบ่อยๆ กระทั่งในวันเกิดเหตุเอง ตนโทรหาแม่เด็กตอน 02.00 น.กว่าๆ ว่าน้องมีอาการยังไง ให้รีบมาเซ็นยินยอมในการรักษา เพราะมีแค่แม่เท่านั้นที่เซ็นได้ แต่แม่เด็กตอบเพียงว่า “ไม่มีรถ จะไปได้ก็ตอนเช้า” แฟนของตนจึงบอกว่าให้นั่งแท็กซี่มาเลย จะออกค่าโดยสารให้ แม่เด็กจึงยอมมา ทั้งนี้ยังมองอีกว่าแม่เด็กปล่อยปละละเลย แม่เด็กเคยขอเอาน้องไปนอนด้วย 1 คืน แต่แม่ของตนมองว่าถ้าเอาน้องไปจะให้น้องกินอะไร ขนาดตัวแม่เด็กเองยังขอเงินแม่ซื้อข้าวอยู่เลย จึงไม่ยอมให้น้องไปเพราะกลัวอด

ทั้งนี้ ทางฝั่งพี่เลี้ยงเองยังบอกอีกว่า ตอนนี้แม่เด็กไม่ยอมฟังอะไรตนทั้งนั้น เพราะฟังแต่ทางแฟนใหม่มากกว่า ตอนนี้รู้ว่าน้องย้ายไปที่ รพ.อ่างทองแล้ว อยากไปเยี่ยม แต่ไม่อยากเจอแฟนใหม่ของแม่เด็ก กลัวการมีปากเสียง และยังบอกอีกว่า ถ้าน้องพอร์ชอาการดีขึ้นคงไม่รับเลี้ยงต่อแล้ว เพราะตนเองกำลังจะมีลูก และเข็ดหลาบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น .-420- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เก๋งซิ่งแหกโค้งชนเสาเหล็ก ไฟลุกไหม้คลอกคนขับดับสลด

ลพบุรี 6 มิ.ย. – เก๋งหรูซิ่งเสียงดังลั่น หมุนโชว์กลางสี่แยก ก่อนแหกโค้งชนเสาเหล็กป้ายข้างทางไฟลุกไหม้เสียหายทั้งคัน คลอกคนขับดับสลด เมื่อเวลา 03.30 น.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.ชาตรี ทรัพย์นิยมพงศ์ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี รับแจ้งรถเก๋งชนเสาข้างถนน ไฟลุกไหม้ทั้งคัน บนถนนทางเข้าบ้านหนองน้ำทิพย์ หมู่ 7 ต.เขาพระงาม อ.เมืองลพบุรี พร้อมแจ้งรถน้ำดับเพลิงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลตำบลเขาพระงาม รุดไปดับไฟ และเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมตรวจสอบ จุดเกิดเหตุพบไฟกำลังลุกไหม้โหมทั่วไปทั้งคันรถ สังเกตดูเบื้องต้นคนขับติดอยู่ที่เบาะนั่งสภาพหมดสติ เจ้าหน้าที่เร่งระดมฉีดน้ำใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพลิงสงบ จากการตรวจสอบด้านซ้ายรถชนอัดอยู่กับเสาเหล็กป้ายบอกทาง สภาพเหลือแต่ซาก เบื้องต้นพบเป็นรถเก๋งยี่ห้อยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ทราบสี-ทะเบียน ถูกไฟไหม้ เหลืออยู่ครึ่งป้าย ภายในรถพบร่างชายถูกไฟไหม้เกรียม ยังไม่ทราบชื่อว่าเป็นใครมาจากไหน สอบถามนางเล็ก ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองนั่งเฝ้าเครื่องสูบน้ำใกล้จุดเกิดเหตุ ได้ยินเสียงรถเก๋งคันดังกล่าวขับซิ่งมาจากแยกเขาพระงาม มุ่งหน้าไปทางโคกสำโรง เสียงท่ออย่างดังลั่น พอมาถึงสามแยกบ้านหนองน้ำทิพย์ ได้หมุนโชว์กลางแยก 1 รอบ จากนั้นขับไปยูเทิร์นกลับมาอีกรอบ เลี้ยวเข้าทางแยกหนองน้ำทิพย์ได้ประมาณ 300 เมตร […]

ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงิน 12 ล้าน วางทิ้งข้างถังขยะ

นนทบุรี 6 มิ.ย. – ตำรวจเร่งตามหาเจ้าของเงินสด 12 ล้าน ในกล่องพลาสติก วางทิ้งข้างถังขยะคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จากกรณีพลเมืองดีพบธนบัตรไทยจำนวนมาก ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องพลาสติก บริเวณคอนโดฯ ย่านเมืองทองธานี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเอกสารเกี่ยวกับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและซองจดหมาย ปรากฏชื่อบุคคลและหน่วยงานรัฐในเอกสาร จึงได้ยึดธนบัตรดังกล่าวมาที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเงินอะไร ได้มาถูกต้องหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เบื้องต้นพบเป็นเงินสดจำนวน 12 ล้านบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่นำสายรัดของธนบัตรดังกล่าวไปตรวจสอบ พบว่ามีการจ่ายเงินออกมาจำนวนดังกล่าวตั้งแต่ปี 2563    พลเมืองดีเล่าว่า เวลาประมาณ 20.00 น. ของเมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนและเพื่อนเดินไปลิฟต์ที่ชั้น 4 ซึ่งข้างลิฟต์เป็นที่ทิ้งขยะ เห็นกล่องสภาพดีวางอยู่ ก็จะเก็บไปใช้ ซึ่งกล่องถูกเปิดแง้มเอาไว้และมีเสื้อผ้าวางทับด้านบน จึงเปิดดูพบเงินสดฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัดๆ จำนวนมาก จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ ความคืบหน้าในการติดตามหาตัวคนที่นำกล่องเงินมาทิ้ง ตำรวจสืบสวน สภ.ปากเกร็ด ได้ลงพื้นที่ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดที่พบเพื่อหาเบาะแสคนที่นำกล่องพลาสติกมาทิ้ง เบื้องต้นยังไม่พบผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังได้พยายามติดต่อกับ นายทวีวัฒน์ […]

น้ำมันรั่วลงทะเล

สั่งเจ้าท่าระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar

ชลบุรี 6 มิ.ย.- “มนพร” สั่งการกรมเจ้าท่าตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาและควบคุมสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar บริเวณท่าเรือบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ศรีราชา จังหวัดชลบุรี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการให้ นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เพื่อ ระงับเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือ Phoenix Jamnagar ซึ่งเป็นเรือบรรทุกน้ำมันดิบสัญชาติสิงคโปร์ หมายเลข IMO 9828962 โดยเหตุเกิดบริเวณทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล (SBM2) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.54 น. โดยมีสาเหตุมาจากท่อส่งน้ำมันที่ชำรุด ส่งผลให้น้ำมันดิบรั่วไหลลงสู่ทะเลในปริมาณประมาณ 20 คิว หรือราว 20 ตัน กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการประเมินสถานการณ์โดยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ณ โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทไทยออยล์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการควบคุมเหตุการณ์ ทั้งนี้กรมเจ้าท่าในฐานะเลขานุการศูนย์ประสานงาน ได้ประสานกองทัพเรือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในการขจัดคราบน้ำมัน จากการสำรวจพื้นที่ พบว่าลักษณะของคราบน้ำมันเป็นคราบสีดำหรือน้ำตาลบาง ๆ […]

นักศึกษาเจอคอลเซ็นเตอร์ปั่นหัวถือมีดบุกโรงพัก

เชียงใหม่ 5 มิ.ย. – แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกนักศึกษาเชียงใหม่ สูญกว่า 2 ล้านบาท พ่อแม่เครียดหมดเนื้อหมดตัว บางรายถูกปั่นหัวให้ถือมีดบุกโรงพักเย้ยตำรวจ พบเฉพาะ สภ.ภูพิงค์ฯ มีเหยื่อโดนหลอกลักษณะนี้แล้วกว่า 300 ราย กล้องวงจรปิดบันทึกภาพนักศึกษาสาว ชั้นปีที่ 4 ขี่รถจักรยานยนต์มาจอดภายใน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นเดินไปเข็นวีลแชร์ที่อยู่ตรงหัวมุมอาคาร แล้วก็เข็นไปเข็นมาอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถือมีดไปที่บริเวณห้องรับแจ้งความ และอ้างว่า จะมาขอพบตำรวจนายหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อนี้อยู่ที่โรงพัก จึงขอพบ พันตำรวจเอก มนัสชัย อินทร์เถื่อน ผู้กำกับ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เพราะไปฆ่าคนตายมา ขณะนั้น ตำรวจสืบสวนสังเกตเห็นว่า นักศึกษาสาวมีท่าทางหวาดระแวงใส่หูฟังเหมือนกับทำตามคำสั่งใครสักคนที่สั่งการจากปลายสาย ด้านตำรวจจึงชวนพูดคุยสอบถามสักพัก จนยอมวางมีดลง จากนั้น ตำรวจจึงขอให้ดึงหูฟังออก ปรากฏว่า นักศึกษาสาวกลับได้สติขึ้นมาว่า ชายที่สั่งการทางโทรศัพท์ไม่ใช่ตำรวจจริง เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งให้มาป่วนตำรวจ เนื่องจากไม่มีเงินโอนให้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจจึงตรวจสอบพบว่า ในวันเดียวกัน […]

ข่าวแนะนำ

ลอบวางระเบิด 2 จุด กลางตลาดโต้รุ่งเมืองปัตตานี

ปัตตานี 8 มิ.ย. – คนร้ายลอบวางระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี รถจักรยานยนต์เสียหาย 2 คัน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.68 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก โดยจุดแรก วางระเบิดในถังขยะ หน้าร้านทอง บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 คัน และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรม หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การก่อเหตุครั้งนี้ คาดว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลข่าวสารที่หน่วย ส.จว.ปัตตานี ได้ออกข่าวแจ้งเตือนไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ค.68 เวลา 15.00 น. ปรากฏข่าวสารว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ และสมาชิกจำนวน […]

นายกฯ เผยหารือกัมพูชา ตกลงปรับกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ลดเผชิญหน้า

ทำเนียบรัฐบาล 8 มิ.ย. – นายกฯ เผยหารือกับรัฐบาลกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดการเผชิญหน้า เดินหน้าใช้กลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ นำพาความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ.-316-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 สั่งกองกำลังสุรนารี ปรับเวลาเปิด-ปิด จุดผ่านแดนกัมพูชา 

8 มิ.ย.- เกาะติดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แม่ทัพภาค 2 ลงนามคำสั่งให้อำนาจผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พิจารณาปรับเวลาเปิด-ปิด ด่านถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า 4 ด่าน มีผลทันทีเมื่อคืนนี้ กองทัพภาคที่ 2 ออกหนังสือคำสั่ง การควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ตามคำสั่งกองทัพบก เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังกำลังสุรนารีมีอำนาจการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่จำเป็นเหมาะสม ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี ดังนี้