“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” พบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2

ตร. 9 พ.ค. – “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” พบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 โครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ยืนยันสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญในการสนับสนุนด้านการศึกษาเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชน


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมพบปะนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ โซนซี ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ ปลาทอง ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 นำผู้เข้าร่วมโครงการ “เรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2” ระหว่างวันที่ 7-9 พฤษภาคม 2567 โดยมีนักเรียนจำนวน 61 คน และครู จำนวน 20 คน จากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จำนวน 53 แห่ง

ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 กล่าวว่า การศึกษานับเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน การจัดการศึกษาของประเทศไทยได้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง จากประสบการณ์ของตนเองที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมุ่งเน้นการเรียนรู้ในลักษณะของการบูรณาการสาระความรู้ต่างๆ อย่างสมดุล สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งการศึกษานอกสถานที่เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีความสำคัญมากอย่างหนึ่ง จะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษาอย่างแท้จริง ถือเป็นวิธีการทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ และสามารถพัฒนาผู้เรียนในด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสติปัญญา และด้านสังคม ได้เป็นอย่างดี กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จึงจัดทำโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา เพื่อให้เด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ได้รับการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ปฏิบัติจริง และเกิดความพร้อมทั้ง 4 ด้านดังกล่าว และเพื่อเป็นการมอบโอกาสอันดี เป็นรางวัลให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในสังกัด ที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี หรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านที่มีผลงานดีเด่น


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ว่า นักเรียนทุกคนเป็นตัวแทนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในสังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 และเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดังนั้น เมื่อทราบว่าทางกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จัดโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ขึ้น จึงได้ขอให้ผู้จัดโครงการได้จัดตารางเวลาให้มีโอกาสมาพบปะ สนทนากับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการด้วย เพื่อแสดงความตั้งใจ และยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการดำเนินโครงการด้านการศึกษา และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในการเรียนรู้นอกสถานที่ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของนักเรียนทุกคน ที่ได้พบ ได้ยิน ได้ฟัง รวมถึงมีข้อสังเกต มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นในใจ เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนรู้ การค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ต่างๆในชีวิตของนักเรียนทุกคน

จากนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ ได้พูดคุยกับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ พร้อมจัดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชนืให้กับนักเรียนในเรื่อง การสังเกต จดจำลักษณะ ใบหน้า เพื่อการสเก็ตช์ภาพคนร้าย โดยมี พ.ต.อ.ชัยวัฒน์ บูรณะ อดีตรอง ผบก.ศพฐ.1 ผู้ชำนาญการสเก็ตช์ภาพใบหน้าคนร้าย เป็นวิทยากร

นอกจากนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการเรียนรู้สู่โลกกว้าง แหล่งเรียนรู้นอกสถานศึกษา ของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัดกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 จะได้มีโอกาสไปเรียนรู้นอกสถานที่ ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร , ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ และชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี , เรียนรู้เยี่ยมชมสวนนงนุช และฟังการบรรยาธรรมจากพระอาจารย์เอกชัย ศิริญาโณ ณ สวนนงนุช จ.ชลบุรี


ทั้งนี้ นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการต่างขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 2 ที่เปิดโอกาสให้ได้เข้าร่วมโครงการดีๆ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่อยากเป็นตำรวจ และครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน โดยส่วนใหญ่กล่าวว่า ได้เห็นตัวอย่างและได้รับแรงบันดาลใจที่ดีจากครูตำรวจตระเวนชายแดน และผู้บังคับบัญชาทุกท่าน. -412-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

สุดจึ้ง! ซาลาเปาแฟนซีแฮนด์เมด รายได้ครึ่งล้านต่อเดือน

“คุณจารุวรรณ” วัย 78 ปี พร้อมครอบครัว ช่วยกันคิดค้นสูตรซาลาเปาแฟนซีเป็นเจ้าแรกใน จ.ตรัง ส่งขายทั่วทุกภาคของประเทศ สร้างรายได้เดือนละ 450,000-500,000 บาท และมีแผนส่งออกไปขายยังต่างประเทศในต้นปีหน้า

เจ้าของคลินิกซิ่งชนไรเดอร์ตกสะพานเสียชีวิต

เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ซิ่งเบนซ์ชนไรเดอร์หญิง ตกสะพานต่างระดับย่านพระรามสี่ เสียชีวิต วัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ก่อเหตุ สูงเกินกฎหมายกำหนด

เปิดให้สักการะ “พระเขี้ยวแก้ว” วันแรก

ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ถึงยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ว พร้อมเชิญชวนประชาชนสักการะ วันนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก ตั้งแต่ 07.00 น.เป็นต้นไป

ข่าวแนะนำ

ให้ออกจากราชการแล้ว “ส.ต.อ.” ตบทรัพย์ ซ้ำเติมผู้เสียหาย

จับแล้ว “ส.ต.อ.” สภ.แสนสุข ตบทรัพย์ 150,000 บาท ซ้ำเติมผู้เสียหายคดีฉ้อโกงออนไลน์ ตั้งกรรมการสอบ-ให้ออกจากราชการแล้ว ก่อนแจ้งข้อหาและคุมตัวฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว

แข่งเรือใบ ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า

ทะเลภูเก็ตคึกคัก เรือใบร่วม 200 ลำ จากทั่วโลก ร่วมแข่งขันรายการ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” และร่วมสร้างสีสันการท่องเที่ยว ที่สำคัญปีนี้ยังเป็นปีที่ 2 ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ มาร่วมแข่งขันด้วย

ยังไร้วี่แววส่ง 4 ลูกเรือประมงกลับไทย

เมียนมาเงียบกริบ! ยังไร้วี่แววส่งตัว 4 ลูกเรือประมงกลับไทย จนท.ในพื้นที่เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานใดๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเมียนมา มีเพียงการประสานจากเนปิดอว์มายังเกาะสองด้วยวาจาเท่านั้น

นายกฯ ยันไม่ปรับ VAT เป็น 15% ย้ำรับฟังทุกภาคส่วน

“นายกฯ แพทองธาร” ยืนยัน ไม่ปรับ VAT เป็น 15% ชี้ ก.คลัง กำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษี ต้องมองทั้งระบบลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขอให้มั่นใจการทำงานของรัฐบาลรัดกุม