กรุงเทพฯ 1 พ.ค. – “บิ๊กต่าย” ยันผลงานตำรวจไซเบอร์มีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้าย ก.ย.นี้ ย้ำต้องขยายผลลงลึกถึงการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย ไม่ได้กำหนดเวลาแต่ต้องจริงจัง พร้อมเผยภาค 8 เตรียมประชุมร่วมกับกงสุล 12 ประเทศ หาแนวทางป้องกันและปราบปรามนักท่องเที่ยวกระทำผิดกฎหมายภายในราชอาณาจักรไทย หวังใช้ จ.ภูเก็ต เป็นโมเดลต้นแบบ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการทำงานของตำรวจไซเบอร์ตลอดระยะเวลา 30 วันที่ผ่านมา ระบุว่า ตำรวจไซเบอร์มีการขับเคลื่อน สืบสวน และจับกุมผู้กระทำผิดจำนวนมาก ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยากให้เร่งรัดปราบปรามมากขึ้นอีก และอยากให้จับกุมได้ถึงตัวการใหญ่ ซึ่งผลงานของตำรวจไซเบอร์ในวันนี้เป็นที่ประจักษ์มากขึ้นแล้ว แต่ต้องมีการขับเคลื่อนให้มากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ยังคงเห็นว่ามีการลักลอบทำเว็บพนันอยู่บ้าง ซึ่งตำรวจไซเบอร์ยังคงต้องทำงานให้หนักและมากขึ้นอีก
ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ ตั้งขึ้นเพราะอาชญากรรมที่หลอกลวงทางเทคโนโลยีมีสถิติสูงขึ้น จึงมีการตั้งกองบัญชาการนี้ขึ้นเพื่อสืบสวน จับกุม และแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องมีการทำงานให้ประชาชนไว้ใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดกรอบการทำงานแล้ว 30 วัน ตอนนี้กำลังรวบรวมผลงานว่าเป็นไปตามนโยบาย และมีการทำงานอย่างจริงจังแค่ไหน ส่วนตัวคิดว่ายังไงก็ต้องมีการจับกุมให้ได้มากกว่านี้ หลังจากนี้จะขอดูการขยายผลของไซเบอร์ ซึ่งการจับกลุ่มแต่ละครั้งต้องขยายผลไปถึงผู้ร่วมขบวนการ ลูกค้า บัญชีม้า รวมทั้งการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย ถ้าทำได้แบบนี้ทุกรายถึงจะพอใจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลงานการจับกุมสามารถใช้ในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายในช่วงเดือน ก.ย. ได้หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า เป็นตัวชี้วัดได้แน่นอน ในวันข้างหน้าผู้ที่ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป ควรจะนำผลปฏิงานตามนโยบายที่สำเร็จมาใช้ในหารบริหารบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ยอมรับว่าผลการปฏิบัติงานของตำรวจไซเบอร์และหน่วยอื่นจะมีผลต่อการพิจารณาโยกย้ายในช่วงเดือน ก.ย.นี้อย่างแน่นอน และจะลึกลงไปในเรื่องของรายละเอียด ไม่ใช่เพียงสถิติตัวเลข และเชื่อว่าไม่ได้เป็นไฟไหม้ฟาง มั่นใจว่าจะต้องขับเคลื่อนกันเดินหน้า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ยังเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่หรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ขณะนี้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ขณะนี้ยังไม่ถือว่าพ้นสภาพ เพียงแต่ให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอผลการสอบสวนเท่านั้น
ส่วนเหตุการณ์ที่มีชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จนทำให้ใครหลายคนตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในการใช้ชีวิตร่วมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ดำเนินการสืบสวนสอบสวนกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาภายในราชอาณาจักรไทย เพื่อทำธุรกิจสีเทา หรือผลประโยชน์แอบแฝงเพื่อทำผิดกฎหมาย ซึ่งตนได้กำชับไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้มีการหารือและทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และตนมาทราบมาว่าขณะนี้ทางตำรวจภูธรภาค 8 ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมกับเชิญตัวแทนจากกงสุล 12 ประเทศ เพื่อร่วมกันป้องกันและปราบปรามชาวต่างชาติเข้ามาภายในราชอาณาจักรไทย โดยมีพฤติกรรมแอบแฝงในการกระทำผิดกฎหมาย พร้อมกับหวังว่าจะใช้จังหวัดภูเก็ตเป็นโมเดลและเป็นต้นแบบในการใช้มาตรการดังกล่าวอีก.-420-สำนักข่าวไทย