กรุงเทพฯ 26 เม.ย. -รอง ผกก.5 บก.จร. เปิดใจถูกผู้บริหารสาวบริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลก เมาแล้วขับกร่างต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมถูกด่าทอใช้คำพูดไม่ดี
จากกรณีที่ผู้บริหารสาวบริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลก ถูกจับกุมเมาแล้วขับ ต่อสู้ขัดขวางกับ พ.ต.ท.ดาราธร ขจรศิลป์ รองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจจราจร ระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน.ประเวศ เหตุเกิดเวลา 00.30 น. วันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา ที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามมัสยิด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร
พ.ต.ท.ดาราธร ได้มาเปิดใจยอมออกสื่อครั้งแรก โดยเปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุนั้นตำรวจได้ขอความร่วมมือให้ผู้ก่อเหตุเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งก็พบว่ามีปริมาณเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นได้เชิญมาแจ้งสิทธิ์ และแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ยังคงด่าทอใช้คำพูดที่ไม่ดี และขัดขืนไม่ยอมให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งระหว่างที่จะนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ก็ให้ขึ้นรถกระบะตำรวจโดยให้ผู้ก่อเหตุเข้าไปที่ด้านหลังแคปของรถกระบะ โดยให้ผู้ก่อเหตุเข้าไปในลักษณะนอนตามแนวเบาะ ระหว่างที่ตนเองเอื้อมมือไปปิดประตูนั้น หันหน้ากลับมาก็พบแม่ไม้มวยไทย ถูกถีบหน้าเข้าให้อย่างจัง ทำเอาตนเองหน้าชา มึนไปพอสมควร จึงรวบขาไม่ให้ดิ้นรนขัดขืนอีก
จนมาถึงที่ สน.ประเวศ สิ่งที่ทำให้ลูกน้องของตนเองคาใจก็คือ คำพูดของผู้ก่อเหตุที่ต่อว่าตำรวจ และยังมีทีท่าไม่ยอมรับผิดกับสิ่งที่ทำ ซึ่งตนเองยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
อีกทั้งยังฝากเตือนประชาชนว่า เมาอย่าขับ เพราะสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอันดับหนึ่งมาจากเมาแล้วขับ หลายคนมักอ้างว่าเมาแล้วขับไม่ได้ไปฆ่าใครตายซะหน่อย อยากให้เปลี่ยนความเชื่อแบบนี้ เพราะจากสถิติการเมาแล้วขับได้ส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บของคู่กรณี จึงอยากให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญ เรื่องเมาไม่ขับให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่เกิดกับตนเองและครอบครัวคงไม่เข้าใจไม่รู้สึก
ส่วนเกรียนคีย์บอร์ดที่เข้าไปคอมเมนต์ในโลกโซเชียลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นตัวแทนหมู่บ้านที่ถีบหน้าตำรวจแทนให้นั้น อยากให้ใช้สติคิดก่อนว่า ผู้ก่อเหตุทำผิดกฎหมายคือเมาแล้วขับ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้
ด้าน พ.ต.อ.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเจอคนเมาแล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บ่อยครั้งจนชิน เจอมาทุกรูปแบบ ทั้งยอมจำนนโดยดี ทั้งขัดขืนไม่ยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ทั้งพูดจาไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่แกล้งหลับ แกล้งตายไปเลยก็มี โดยยืนยันว่า กรณีตำรวจทำตามขั้นตอนการจับกุมทุกอย่าง ไม่ได้มีการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด และที่ไม่ได้ใช้กุญแจมือพันธนาการกับผู้ก่อเหตุก็เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง ชุดจับกุมประเมินแล้วว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ก็ถูกกระทำดังกล่าวจนได้
สำหรับเหตุการณ์เกิดขณะที่ตำรวจ บก.จร.กำลังตั้งจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และกวดขันวินัยจราจร ได้มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร มี น.ส.มนธ์สินี อายุ 51 ปี ผู้บริหาร บริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลกแห่งหนึ่งในประเทศไทย เป็นผู้ขับขี่ เข้ามายังจุดตรวจ จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผลปรากฏว่าวัดได้ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ เกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงได้แจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหา ขณะควบคุมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนที่ สน.ประเวศ นั้น น.ส.มนธ์สินี ได้ขัดขืน พร้อมทั้งด่าทอเจ้าหน้าที่ และถ่ายคลิปวิดีโอ และใช้เท้าถีบเข้าบริเวณใบหน้าข้างขวาของ พ.ต.ท.ดาราธร 1 ครั้ง แต่ตำรวจควบคุมตัวไว้ได้ และส่งให้พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ดำเนินคดี จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่าเคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ เมื่อปี 2565 มาแล้ว ซึ่งก็เป็นการถูกจับกุมในจุดเดิม ซึ่งระหว่างที่ตำรวจดำเนินคดีนั้นก็ยังป่วนนำแอลกอฮอล์มาฉีดใส่ตำรวจ แต่ว่าไม่ได้ลงมือทำร้ายตำรวจแต่อย่างใดจึงดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับเพียงข้อหาเดียว ซึ่งครั้งนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษ โดยให้รอลงอาญา 2 ปี จนกระทั่งมาก่อเหตุในครั้งนี้อีก ซึ่งยังอยู่ในห้วงเวลาที่ศาลให้รอลงอาญาด้วย.-414-สำนักข่าวไทย