กรุงเทพฯ 26 เม.ย.-“ทนายตั้ม” ยื่นหนังสือคัดค้านแต่งตั้งตำรวจช่วยสนับสนุนการไต่สวน ก.ร.ตร.หวั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ยื่นหนังสือคัดค้านการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจช่วยเหลือและสนับสนุนในการไต่สวนของคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจบางนายหลังจากมีรายชื่ออยู่ในคณะกรรมการซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้มายื่นเรื่องคัดค้านคณะกรรมการที่จเรตำรวจได้มีการแต่งตั้งเพื่อช่วยเหลือ ก.ร.ตร.ในการไต่สวนเรื่องนี้ ตำรวจคนดังกล่าวยศพันตำรวจเอก สมัยที่ผมได้ร้องเรียนเรื่องไบโอแมทริกซ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทะเลาะกับ ผบ.ตร.ในสมัยนั้น ปรากฏว่า ผมถูกดำเนินคดีหลายคดี ซึ่งตำรวจคนนี้ได้ดำเนินคดีผมทุกคดี และดำเนินคดีผมอย่างไม่เป็นธรรมจนมีเรื่องทะเลาะกันและมีปากเสียงกันบนชั้นศาล ผมคิดว่าหากบุคคลคนนี้มาเป็นผู้ช่วยในการไต่สวนน่าจะทำให้เรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม อาจมีการกลั่นแกล้งผมได้ จึงมายื่นร้องคัดค้านให้เปลี่ยนตัวตำรวจเพียง 1 คน จาก 29 คน ตำรวจคนนี้หลังจากดำเนินคดีกับตนเองแล้วก็ได้ดิบได้ดีจากยศ พ.ต.อ.จาก ผกก.ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ ใช้เวลาเพียงไม่นาน ทำให้ตนเองอดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นโบนัสที่ดำเนินคดีกับตนตอนที่มีเรื่องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนั้น จึงคิดว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นหนึ่งในคณะทำงานในเรื่องนี้
นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้ทางสายลับได้เข้าไปให้ปากคำกับคณะกรรมการชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมา ซึ่งยังอยู่ระหว่างการให้ปากคำอยู่และทราบว่ามีตำรวจคอมมานโดระดับวีไอพี 2 คน เข้าให้ปากคำด้วย ส่วนเมื่อวานนี้ทาง คณะก.ร.ตร. มี พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน เพียงคนเดียวที่ว่างในการไต่สวน แต่สายลับบอกว่ามีการสอบถามละเอียดถึงเรื่องสเตทเมนท์ การโอนเงินในแต่ละครั้งว่ามีวันที่เท่าไหร่ มีหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งสายลับได้นำหลักฐานทุกอย่างมามอบให้กับ ก.ร.ตร.เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ทาง ก.ร.ตร.อยากเร่งทำความจริงให้ปรากฏจึงเรียกเข้ามาสอบ อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจใน ก.ร.ตร. ชุดนี้ ถึงแม้ว่าทาง พล.ต.ท.อำนวย ดูจะเป็นปรปักษ์กับบิ๊กโจ๊ก แต่ดูจากการทำงานของท่านก็มีการดำเนินคดีทั้ง 2 ฝั่งจึงมีความมั่นใจ เพราะมีแอคชั่นในการขอหลักฐานจากทั้ง 2 ฝั่ง อย่างเท่าเทียมกัน จึงคิดว่าผลที่ออกมาจะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดู
ส่วนการให้ปากคำกับตำรวจ สน.เตาปูน เมื่อวานนี้ ทางตำรวจได้เรียกไปยืนยันว่าเงินที่โอนจากบัญชีของนางสาวพิมพ์วิไล เป็นการไปจ่ายเงินเดือนให้กับภรรยาของ ผบ.ตร. หรือโอนให้กับวัดโดยพยายามให้ไปยืนยันว่าเป็นเงินจำนวนเดียวกัน ผมจึงบอกไปว่าเงินที่โอนเข้าไปก็ไปรวมกันเข้าบัญชีใหญ่หากจะถามอะไรแบบนี้จะไปทราบได้อย่างไรว่าเป็นเงินเดียวกันหรือไม่เพราะเมื่อมีการโอนเข้าบัญชีก็ต้องถูกนำไปใช้ประโยชน์เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินตรงกันวันเดียวหรือจำนวนเดียวกันหรือไม่ก็เกิดประโยชน์กับการจ่ายเป็นรายเดือนให้กับภรรยา
นายษิทรา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้มีการใช้คำถามที่ไม่น่าจะต้องเรียกผมไปสอบถาม และมีเลขบัญชีที่ตนเองยื่นไป 9 ตัว แต่ขาดไป 1 ตัว จึงมีการเรียกไปสอบถามข้อเท็จจริงว่าเลขอะไรกันแน่ เสมือนเป็นการยื้อเวลา ซึ่งเรื่องแบบนี้ทางตำรวจสามารถตรวจเช็คเองได้ ตั้งแต่วันแรกตนบอกให้ไปตรวจสอบบัญชีของนายณัฐพงศ์, นายคชาชาญ และภรรยาของ ผบ.ตร. ซึ่งตำรวจสามารถตรวจเช็คได้ หากจะให้ตนเองไปตอบให้ทุกอย่างโดยไม่มีการสืบสวนสอบสวนอะไรก็ไม่ใช่เรื่อง จึงนำหลักฐานล่าสุดที่แถลงไปมอบให้ เพื่อให้เห็นความชัดเจนของเส้นทางการเงิน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นมาไม่มีคนไหนอยู่ในคณะกรรมการชุดเก่าที่อยู่ในคดีเดิมของ BNK เลย ก็มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการดึงเวลาหรือไม่ เห็นการทำงานแล้วจึงเกิดความสงสัย
สำหรับคำสั่งดังกล่าวสืบเนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ครั้งที่ 12/2567 เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2567 มีมติรับเรื่องที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ร้องเรียนข้าราชการตำรวจ ไว้ดำเนินการไต่สวนเอง โดยให้สำนักงานจเรตำรวจมอบหมายข้าราชการตำรวจในสังกัดเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนในการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ตามจำนวนและระดับตำแหน่งที่กำหนด โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน ทาง พล.ต.ท.ธนพล ศรีโสภา จเรตำรวจ (หัวหน้าจเรตำรวจ) จึงแต่งตั้งข้าราชการตำรวจทั้งหมด 29 นาย เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนในการไต่สวนข้อเท็จจริง ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะไต่สวนมอบหมาย. -419-สำนักข่าวไทย