บก.ปปป. 23 เม.ย. – “กัน จอมพลัง” พร้อมลูกสาวผู้เสียหายบุก ปปป.ยื่นถอนประกันตำรวจรีดเงินอ้างช่วยคดี หลังถูกคุกคามบุกถึงบ้านพักให้ช่วยเซ็นยอมความ 3 ครั้ง
นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมลูกสาวผู้เสียหายที่ถูกนายตำรวจ วัย 56 ปี ตำแหน่ง สว.(สอบสวน) สภ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ข่มขู่เพื่อให้กลับคำให้การ กรณีที่ถูกรีดเงิน 100,000 บาท เพื่อช่วยเหลือทางคดี
นายกัณฐัศว์ กล่าวว่า มีอดีตตำรวจคนหนึ่งเคยมีประเด็นกับผม ซึ่งตำรวจคนดังกล่าวเคยทำคดีของพ่อผู้เสียหายแล้วรีดเงิน 100,000 บาท ผมเคยมาที่บก.ปปป. ประสานกับทาง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้มอบหมายให้ บก.ปปป.ลงพื้นที่ไปจับกุม วางแผนกัน 2 สัปดาห์ จนสามารถจับกุมได้เงินในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง 50,000 บาท จากนั้นถูกนำตัวมายัง บก.ปปป. และให้ประกันตัว ต่อมาถูกให้ออกจากราชการ ระหว่างนี้ได้บุกไปบ้านผู้เสียหาย 3 ครั้ง โดยไปที่บ้านในจังหวัดสุโขทัย 1 ครั้ง และบ้านในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 ครั้ง พร้อมนำเอกสารไปให้เซ็นเพื่อให้กลับคำให้การ อ้างขอความเห็นใจหากต้องถูกออกจากการเป็นตำรวจจะลำบาก หากส่งศาลอาจจะไม่ได้ประกันตัว ชีวิตเขาจบเลย จึงถามสังคมว่า เราอยากให้ตำรวจที่มีพฤติกรรมเช่นนี้กลับมารับราชการทำงานเพื่อประชาชนอีกหรือไม่
นายกัณฐัศว์ กล่าวว่า ผมถามว่าตอนทำคิดถึงสภาพครอบครัวของผู้เสียหายหรือไม่ ผู้เสียหายต้องนำรถทุกคันไปจำนำจำนองเพื่อนำเงินมาให้และที่บอกว่าเคลียร์อัยการได้ เป็นอัยการคนไหน ตอนทำไม่เห็นใจเขา ตอนนี้มาร้องขอโอกาส ตนได้สอบถามไปยังอัยการในคดีของผู้เสียหาย อัยการระบุว่าคดีดังกล่าวมีโอกาสสั่งไม่ฟ้อง หรือเพราะเห็นว่าคดีมีโอกาสสั่งไม่ฟ้องจึงรีดเงินกับผู้เสียหายใช่หรือไม่ แล้วไปถึงบ้าน รู้จักบ้านผู้เสียหายได้อย่างไร คดีผ่านมานานแล้ว ทำไมยังวนเวียนไปตามผู้เสียหายได้ นอกจากนี้ยังมีอดีตตำรวจของ ปปป. ซึ่งย้ายไปอยู่ที่ใหม่ได้โทรมาหาผู้เสียหายให้กลับคำให้การ คนที่ช่วยก็ต้องถูกดำเนินการด้วย ตำรวจที่ดีมีเยอะ ส่วนคนนอกรีดจะส่งข้อมูลให้ บก.ปปป.ดำเนินการต่อไป ส่วนการคุกคามจะยื่นขอถอนประกัน ด้านคดีความจะมาประสานให้ตำรวจ บก.ปปป.ดำเนินการให้รวดเร็ว
ด้านลูกสาวผู้เสียหาย ได้เล่าพฤติการณ์ของตำรวจคนดังกล่าวว่า ช่วงสงกรานต์ที่บ้านตนเองในจังหวัดสุโขทัย ตำรวจคนดังกล่าวได้มาพร้อมภรรยาและลูกได้มาขอในลักษณะให้เห็นใจ ว่าทางภรรยาเป็นมะเร็ง และมีลูกเล็ก 2 คน จากนั้นหลังสงกรานต์มาพร้อมภรรยาและลูกอีกครั้งที่บ้านตนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมบอกว่า เราไม่ได้เกลียดกัน ไม่ได้เป็นศัตรูกัน อ้างว่าที่เอาเงินไปเพื่อจะช่วยเหลือเราจริง ๆ และยังอ้างอีกว่าต้องนำเงินไปให้อัยการแต่ไม่ได้ระบุชื่อ
ลูกสาวผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า จนล่าสุดเมื่อวานนี้ที่บ้านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้มาอีกครั้ง เขาถือเอกสารมาด้วย บอกว่าตอนนี้จวนเจียนแล้ว ให้ช่วยเซ็นเอกสารให้เพราะเกรงว่าจะไม่ได้ประกันตัว ตนจึงบอกว่าขอถามทาง “กัน จอมพลัง” ก่อน
เมื่อถามว่ามีการส่งตำรวจมาช่วยพูดคุยหรือเคลียร์ให้หรือไม่ ลูกสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า ต้นปีที่ผ่านมามีตำรวจที่เป็นคนที่สอบปากคำเรา ได้โทรมาบอกว่าเราได้ทำบุญให้ปล่อยนกปล่อยปลาไป โทรมาในลักษณะเพื่อจะขอเคลียร์แทนแต่ไม่ได้ข่มขู่ เวลาที่เขามาบ้านรู้สึกกลัว เพราะเขารู้ได้อย่างไรว่าบ้านอยู่ที่ไหน ทำไมมาถูก เพราะที่บ้านเรามีแม่อายุ 61 ปี และลูกอายุ 11 ปี อาศัยอยู่
ลูกสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า พฤติกรรมครั้งแรกเขาบอกเราว่า ถ้าไม่หาเงินมาให้ พ่อจะต้องติดคุก เราพยายามไปอ้อนวอนเขาว่าเราไม่มีเงิน แต่ตอนนี้เขากลับมาพูดขอความเห็นใจกับเรา ตอนนี้ต้องการความยุติธรรมให้ครอบครัวตัวเอง เพราะครอบครัวโดนกระทำโดนรีดเงิน เพราะมั่นใจว่าครอบครัวไม่ผิด เราพยายามส่งหลักฐานไปให้เขาก็ไม่สนใจ ทั้งนี้ จะยังต้องอยู่ที่เดิมเพราะเป็นบ้านเกิด แต่เป็นแบบนี้ทำให้เราหวาดระแวง อยากบอกว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ ให้เป็นไปตามความจริง
สำหรับกรณีนี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ได้วางแผนเข้าจับกุมพ.ต.ท.วัย 56 ปี ตำแหน่ง สว.(สอบสวน) สภ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี หลังมีพฤติการณ์เรียกรับสินบนจากบิดาผู้เสียหาย ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาทุบตึก ถูกดำเนินคดีข้อหา “ร่วมลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ” ได้ร้องเรียนไปยัง “กัน จอมพลัง” ว่าถูกตำรวจเรียกรับเงินสินบนค่าทำคดี จำนวน 1 เเสนบาท ซึ่งทางผู้เสียหายได้จ่ายเงินไปเเล้วก้อนเเรก จำนวน 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 นัดที่ลานจอดรถของศาลากลางจังหวัดลพบุรี และให้จ่ายเงินที่เหลือในวันที่ 20 กันยายน 2566 ต่อมา “กัน จอมพลัง” ได้ประสานไปยัง บก.ปปป. เพื่อวางเเผนจับกุม โดยให้ผู้ต้องหาเอาเงินที่เหลืออีกก้อน จำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับสารวัตรคนดังกล่าว ที่ร้านอาหารเเห่งหนึ่งในอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี หลังจากที่ตำรวจคนดังกล่าวรับเงินจากผู้เสียหาย จึงซ้อนเเผนเข้าจับกุม พร้อมกับดำเนินคดี ซึ่งต่อมาถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ
ส่วนผู้เสียหายนั้น ตกเป็นผู้ต้องหาเนื่องจากเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2565 ได้รับการว่าจ้างจากผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ “นายบอย” ให้ไปทุบอาคารโรงงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ก็รู้สึกเเปลกใจ เพราะไม่เหลือโครงสร้างหรือรูปร่างของอาคารแล้ว เนื่องจากถูกทุบไปก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จึงทำได้เพียง เข้าไปรื้อเศษซากเเละโครงเหล็กออก แต่มาทราบภายหลัง ว่าที่ดินผืนดังกล่าวถูกธนาคารยึดอยู่ การเข้าไปรื้อถอนหรือกระทำการใดๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมาย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็จะไม่เข้าไปทุบตึกดังกล่าวแน่นอน ซึ่งต่อมาก็ถูกออกหมายจับในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ” จากนั้น ตำรวจคนดังกล่าวก็มาเจรจาเสนอว่าจะช่วยเหลือทางคดี โดยเรียกรับสินบน 3 แสนบาท และได้ต่อรองจนเหลือ 1 แสนบาท. -419-สำนักข่าวไทย