29 มี.ค. – สตม.จับกุมนักธุรกิจไต้หวัน หลังพบประวัติสวมบัตรประชาชน ของผู้เสียชีวิตในพื้นที่ภาคเหนือและถูกเจ้าหน้าที่กรมการปกครองเพิกถอน ไปตั้งแต่ปี 2542 มูลค่าความเสียหายกว่า 600 ล้านบาท
พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.พร้อมด้วย พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รองผบก.ตม.1 และผู้ที่เกี่ยวข้องแถลงกรณี จับกุมนักธุรกิจชาวไต้หวันสวมบัตรประชาชนคนไทย หลอกเพื่อนร่วมชาติลงทุน
สืบเนื่องจาก สตม. ได้รับการประสานข้อมูลจากกรมการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ผ่านทางสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูล MRS.MEILEE หรือนางเหมยลี่ อายุ 66 ปี สัญชาติไต้หวัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของไต้หวันรายสำคัญ ซึ่งได้ก่ออาชญากรรมในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยได้ชักชวนหลอกลวงนักลงทุนชาวไต้หวันให้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย มีผู้เสียหายทั้งหมด 88 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 608 ล้านบาท
โดยนางเหมยลี่ ได้เข้ามาประกอบธุรกิจให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในตำแหน่งรองประธานกรรมการฯ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวพบความผิดปกติ ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์หลายประการ เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนางเหมยลี่พร้อมกับได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเฝ้าติดตามสืบสวนจนพบเบาะแสสำคัญว่านางเหมยลี่ มีบุตรสาว 1 คน อยู่ในประเทศไทย ชื่อ น.ส.แสงดาว (นามสมมติ) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยและทะเบียนราษฎร์ ของ น.ส.แสงดาว พบว่าเป็นคนไทย และได้ยื่นคำขอมีบัตรประชาชนเมื่อปี พ.ศ.2543 ในอายุประมาณ 18 ปี มีมารดาเป็นคนไทยชื่อนางดุจเดือน (นามสมมติ) แต่ไม่ปรากฏภาพถ่ายของนางดุจเดือนในฐานข้อมูล ชุดสืบสวนจึงได้ประสานงานกับกรมการปกครอง เพื่อขอภาพถ่ายของนางดุจเดือน ขณะทำบัตรประชาชนไทยครั้งแรกในช่วงประมาณปี พ.ศ.2542 ระบุภูมิลำเนา ในจังหวัดทางภาคเหนือ จากการตรวจสอบพบว่าภาพถ่ายของนางดุจเดือนมีความคล้ายคลึงกับ นางเหมยลี่ ชาวไต้หวัน
จนกระทั่งทราบว่าทั้งคู่ได้พักอาศัยอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เจ้าหน้าที่จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งได้พบนางเหมยลี่ จึงได้แจ้งหนังสือการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่ง ดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
ทั้งนี้ จากการประสานข้อมูลกับกรมการปกครองทราบว่าได้มีการจำหน่ายบัตรประชาชนของนางดุจเดือน ออกจากระบบเป็นที่เรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนของการได้มาซึ่งบัตรประชาชนของบุคคลรายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สตม.จะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป. -414-สำนักข่าวไทย